ศาสนาจารย์ สมศักดิ์ ชูสงฆ์ " พระคริสต์พิชิตซาตาน " ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีความเชื่อผสมปนเปกันหลายอย่าง คือ คุณตาเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธ ส่วนคุณปู่เป็นหมอผี เมื่อผมเกิดมาคุณปู่ก็มาหาพ่อของผมว่าผีได้เลือกผมเป็นทายาทหมอผีต่อจากคุณปู่ ดังนั้น ท่านจึงพาผมไปอยู่ด้วยเพื่อจะฝึกฝนวิชาการ เรียนไสยศาสตร์ตามฉบับคุณปู่ ผู้เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์คาถาและติดต่อกับผี ทำการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น เสกให้บ้านหายไปได้ เดินบนไฟได้ เป็นต้น เมื่อผมอยู่กับคุณปู่ ท่านสอนวิชาทั้งหลายเหล่านี้ให้ผมจนหมด สอนให้รู้วิธีติดต่อกับผีหรือใช้ผีทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ รู้วิธีพูดคุยกับผีเหมือนกับมันเป็นคน เวลาไปไหนมาไหนผมก็จะเดินหลังท่านไปต้อย ๆ ได้พบได้เห็นท่านทำธุรกิจต่าง ๆ กับพวกผี จนผมเองก็ทำได้ แต่ยิ่งผมเรียนรู้เรื่องผีเรื่องวิญญาณชั่วเหล่านี้มากเท่าไร ก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อของมันมากขึ้นเท่านั้น จำได้ว่าคืนหนึ่งคุณปู่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ คอยรับคำสั่งจากพวกผี ขณะที่ท่านกำลังเจรจากับผีอยู่ มันสั่งให้คุณปู่ทำอะไรบางอย่างที่คุณปู่ไม่ต้องการจะทำ มันก็ทำร้ายท่านจนท่านลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น เจ็บปวดเหมือนจะตาย แล้วท่านจึงสวดเป็นภาษาเขมรสู้ผี สักครู่จึงค่อย ๆ หายเป็นปกติ พอท่านออกจากห้องนั้น ผมก็ถามว่าที่สวดเมื่อกี้แปลว่าอะไร ท่านบอกว่าแปลว่า "ขอยอมแพ้ จะสั่งให้ทำอะไรก็ยอมทำทั้งสิ้น" จากนั้น ผมจึงเรียนรู้ว่าคุณปู่ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจอะไรเหนือผีเลย ที่จริงกลับเป็นเครื่องมือให้พวกมันใช้ตามใจของมัน ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่บัดนั้นว่า จะไม่ยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด ไม่อยากจะเป็นทาสของพวกวิญญาณชั่ว ดังนั้นเมื่อเรียนจนมัธยมปลายและคุณปู่เสียชีวิตลง ผมไปไม่ทันดูใจท่าน แต่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าก่อนท่านสิ้นใจ ท่านยกมรดกทางไสยศาสตร์ทั้งหมดให้ผม นั่นหมายความว่าผมผู้เดียวที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมอผีสืบต่อจากคุณปู่ ครั้นเมื่อไปถึงบ้าน ทุกคนมองดูผมเป็นตาเดียวด้วยความหมายว่าผมคงจะดำรงตำแหน่งหมอผีคนต่อไป ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่ผมบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องการเป็นหมอผี ทุกคนจึงผิดหวังมาก ตอนนั้นมีผู้หญิงคนทรงคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับคุณปู่ คอยทำนายทายทักคนที่มาขอให้ดูอนาคตอยู่ด้วย เมื่อผมปฏิเสธ หญิงคนนั้นลุกขึ้นชี้หน้าผม บอกว่า "ถ้าถึงอายุ 21 แล้วแกไม่ยอมเป็นหมอผีล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกเสีย" แต่ผมไม่กลัวเลย และยังบอกกับคุณพ่อว่าผมไม่มีวันยอมเป็นหมอผีเด็ดขาด แม้ต้องตายก็ดีกว่า เมื่อเป็นดังนั้น ผมรู้ว่าผีคงไม่ไว้ชีวิตผมแน่ จึงขอเงินคุณพ่อบอกว่าไหน ๆ ก็จะตาย ขอเงินไปเที่ยวให้มีความสุขก่อนตายเถอะ คุณพ่อก็ให้เงินจำนวนมาก และถ้าผมเห็นว่าอะไรจะทำให้ผมมีความสุขก็ทำทันที เพื่อนฝูงก็มารุมตอมทำให้ชีวิตผมเสื่อมทรามลง กลายเป็นนักพนัน ติดยาเสพติด พิษสุราเรื้อรัง แต่ผมก็ยังไม่เคยพอใจอะไร ยิ่งทำตัวแบบนั้นมากเท่าไรก็ยิ่งเศร้าหมองมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงรู้ว่าวิธีนี้ไม่ช่วยให้มีความสุขเลย ถึงอย่างนั้นก็ช่วยตัวเองไม่ได้ คุณตาบอกว่าทางที่ดีที่สุด ควรจะไปบวชเณร ผมตกลงเพียงเพื่ออยากจะหาความสุขให้ได้ก่อนตาย ผมบวชเณรอยู่ 2 ปี จนกลายเป็นนักเทศน์ แต่กลับฟุ้งซ่านและยังไม่พบความสุข แม้ว่าได้พยายามนั่งสมาธิก็แล้ว ทำใจให้ว่าง ปล่อยวางความคิด พอเลิกก็เหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้ผมละอายแก่ใจในการเป็นเณร คือ ผมเที่ยวสอนใครต่อใครให้ทำดี แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ ผมจึงสึกออกมาเสีย ผมเชื่อว่านี่เป็นแผนการของพระเจ้า ถ้าผมไม่เป็นคนเลว ก็คงไม่กลัวตกนรก และคงไม่แสวงหาทางหลุดพ้น จนได้พบพระเยซูอย่างนี้ คราวนี้ผมเดินทางไปหาเพื่อนที่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ชวนเขาไปท่องเที่ยวด้วย เพราะเขารู้จักทิศทางทั่วเมืองไทยมาก เขาถามผมว่าอยากเห็นแฟนเขาไหม ผมบอกว่าอยากสิ เขาจึงพาไปที่โรงพยาบาลมโนรมย์ ตอนนั้นราว 9 โมงเช้า ที่โรงพยาบาลมีการประชุมกลางแจ้งที่ตึก OPD คนไข้นอก ผมได้ยินคนไทยพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกลียดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ แม้เขาไม่เคยทำร้ายอะไรผมเลย ผมจึงอยากลงมือทำอะไรสักอย่างแต่ทำไม่ได้ เพราะคนมาก จึงได้แต่หัวเราะเยาะและทำให้เขาหมดกำลังใจจะได้หยุดเทศน์ ขณะที่ผมปฏิบัติการอันไม่ชอบมาพากลอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นว่า "ทุกคนเป็นคนบาป" ผมบอกว่าไม่เห็นแปลกเลย ผมรู้ว่าผมเป็นใคร แต่เขาบอกว่า "พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้" คำว่า "ฤทธิ์อำนาจ" นั้นสะกิดใจผมมาก ผมเลยอยากพิสูจน์ฤทธิ์อำนาจนี้ ตามปกติก่อนนอนผมจะสวดมนต์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง อธิษฐานกับพระพุทธและวิญญาณชั่ว ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็นอนไม่หลับถูกวิญญาณชั่วรบกวนทั้งคืน คืนนั้นผมลองอธิษฐานสั้น ๆ กับพระเยซู บอกว่า "ถ้าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยกบาปได้จริง ทำให้ผมเห็นคืนนี้ ปกป้องให้ผมพ้นจากอำนาจของวิญญาณชั่วเถิด" แล้วผมก็เข้านอน คืนนั้นผมนอนหลับสบายมาก พอตื่นขึ้น ผมตระหนักชัดว่าพระเยซูมีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่าวิญญาณชั่วที่รบกวนอยู่ ผมจึงอยากรู้มากขึ้นว่า "พระเยซูเป็นใคร" วันต่อมา เพื่อนของผมต้องไปสอบผู้ช่วยพยาบาล เขาชวนว่าจะไปสอบด้วยไหม ผมตกลง เราจึงไปขอร้องให้ผู้ควบคุมสอบอนุญาตให้ผมเข้าสอบ ทีแรกเขาไม่อนุญาตเพราะผมไม่มีหลักฐานอะไร ผมขอร้องต่อไป และบอกว่า ถ้าสอบได้จะนำหลักฐานทุกอย่างที่ต้องการมาให้ทันที ผมประหลาดใจมากที่ในที่สุดผมได้รับอนุญาตและสอบได้ด้วย แม้จะทิ้งตำรามา 2-3 ปีแล้ว ผมกลับไปหาคุณตาแจ้งข่าวดีให้ทราบว่าผมกำลังจะได้ทำงานที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ คุณตาดีใจด้วย แต่ก็กำชับว่าห้ามฟังห้ามสนใจเรื่องคริสเตียนเด็ดขาด ที่จริงผมไปทำงานโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เพียงอยากรู้ว่า "พระเยซูคือใคร" พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ แม้ไม่ได้บอกใครเลยก็ตาม เมื่อได้เข้าทำงาน และอีกสองสามสัปดาห์ต่อมาก็สอบเลื่อนขั้นได้อีก จากนั้นมีประชุมยุวชน ผมอยากลงทะเบียนเข้าร่วมประชุม แต่ไม่มีเงินเพราะเสียพนันไปหมด จึงอธิษฐานว่า "พระเยซู ผมอยากเข้าร่วมการประชุมนี้ เพราะอยากรู้จักพระองค์ ขอเงินให้ผม 10 บาทเถอะ แค่ 10 บาทเท่านั้นเอง ค่าลงทะเบียน" แล้วผมคอยเฝ้ามองทางหน้าต่างด้วยหวังว่าพระองค์จะโยนเงินเข้ามาให้ทางหน้าต่าง จากวันจันทร์ผ่านไปถึงวันศุกร์ตอนเย็น เย็นนี้แหละจะเริ่มการประชุมแล้ว บ่ายนั้นเอง พ่อแม่ของผมมาหาบอกว่า "ทำไมลูกไม่เขียนจดหมายถึงพ่อแม่เลย นี่คิดถึงลูกมาก" ท่านก็โยนเงินให้แล้วก็กลับไป พระเยซูตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ เพราะการกระทำเช่นนี้มิใช่ปกติวิสัยของพ่อแม่ของผมที่จะมาหาเพียงเพื่อให้เงินไว้ใช้ ธรรมดาท่านจะต้องอยู่พักค้างคืนคุยแล้วคุยอีก ผมจึงได้เข้าร่วมประชุมในตอนเย็น ครั้งนี้ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริง เพราะทุกอย่างเหมือนจัดไว้เฉพาะ การประชุมไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากชีวิตของพระเยซู เขาสอนเรื่องพระเยซู ตั้งแต่ก่อนเกิดแล้วเรื่อยไปจนถึงตาย เมื่อเขาพูดถึงพระเยซูแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหาร ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ คิดว่าคนที่สมควรตาย คือ ผมเอง ไม่ใช่พระเยซู แต่พระเยซูยอมตายเพื่อบาปของผม เวลานั้นผมไม่คิดถึงใครเลย มันเหมือนผมอยู่คนเดียวในโลก และพระเยซูมาเพื่อตายไถ่บาปแทนโดยเฉพาะ เมื่อเขาเทศนาจบแล้ว ผมเข้าไปหามิชชันนารีผู้ดูแลคริสตจักรมโนรมย์ และถามว่าผมจะขอให้พระเยซูเป็นพระผุ้ช่วยให้รอดส่วนตัวของผมได้อย่างไร ท่านถามว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมตอบว่ารู้สึกตัวว่าเป็นคนบาป และพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวที่ช่วยผมได้ ท่านจึงนำผมอธิษฐานต้อนรับพระเยซู วินาทีนั้น ผมได้รับคำตอบซึ่งพยายามค้าหามานาน เมื่อต้อนรับพระเยซูแล้ว ผมพบสันติสุขในใจอย่างแท้จริง วิญญาณชั่วอะไรอื่น ๆ ที่ผมเคยลิ้มลองนั้นไม่สามารถให้สันติสุขนี้แก่ผมได้ พระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ ผมดีใจมาก อยากรู้จักพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ร้องไห้ ... ร้องใหญ่เลย เพราะซาบซึ้งในความรักของพระองค์ จากนั้นพระเจ้าส่งคนมาสอนพระคัมภีร์ให้ทุกคืน ช่วยให้ผมเข้าใจอะไร ๆ ดีขึ้น รู้จักฤทธิ์อำนาจความยิ่งใหญ่ของพระเยซูมากขึ้น รู้จักพึ่งพาในพระองค์จริง ๆ ในที่สุดผมก็รับศีลบัพติศมา ผมจำคืนที่รับบัพติศมาได้ วิญญาณชั่วโจมตีใหญ่เลยและพยายามจะดึงผมกลับ คืนนั้น ขณะที่ผมกลับบ้าน ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นหลายครั้งแล้วเมื่อตอนที่คุณปู่ยังอยู่ มันจะปรากฎบ่อย ๆ เหมือนเป็นเงา ผมจำลักษณะได้ แต่ไม่มีตัวตน ผู้หญิงคนนั้นมายืนข้าง ๆ บอกว่า "ฉันต้องเอาเจ้ากลับไป" ผมบอก ไม่ไปด้วย มันก็พูดซ้ำอีกและพยายามดึงขาผม ขาจึงไปติดกับขอบปลายเตียง ผมตกใจตื่น แปลกมาก แม้เป็นเพียงความฝันแต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ ตัวผมร่นไปจนเท้าติดปลายเตียงอย่างในฝัน แล้วยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า ผมบอกกับมันว่า "ฉันไม่ไป เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว" พอพูดคำว่า "ลูกของพระเจ้า" มันก็กลัว ผมบอกว่า "ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว" มันกลัวมากเมื่อได้ยินคำว่า พระเยซู ผมจังไล่ให้มันไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักใช้พระนามของพระเยซู แม้จะไม่เคยรุ้มาก่อน มันล้มลงแล้วลุกเดินลงไปชั้นล่าง ผมไปปลุกเพื่อนชวนเขามาดู เขาก็เห็นผู้หญิงนี้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ออกไปข้างนอก พอถึงต้นไม่ใหญ่ก็หายไป แต่นี่ยังไม่จบบทบาทของมัน มันยังมารบกวนอีกในรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่ผมไม่กลัวแล้ว เพราะรู้ว่าชนะแล้ว ยิ่งเผชิญกับผลงานของผีและวิญญาณชั่วมากเท่าไร ผมก็ยิ่งขอบคุณพระเจ้า เพราะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่ขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้า ผมรู้ว่ามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอยู่ภายในที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ภายนอก และผมเป็นบุตรของพระองค์ จึงมีสิทธิอำนาจที่จะใช้พระนามของพระองค์เอาชนะฝีวิญญาณชั่ว แม้ผมจะรู้เคล็ดลับวิธีเอาชนะวิญญาณชั่วแล้วก็ตาม แต่เมื่อแต่งงานแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้วิญญาณชั่วทำร้ายผมไม่ได้ แต่มันพยายามไปทำร้ายภรรยาและลูกแทน นี่เป็นเรื่องใหม่จริง ๆ สำหรับผมซึ่งไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้สนใจ มาเข้าใจเมื่อลูกสาวอายุได้ 3 ขวบ ลูกคนนี้มักจะร้องกรี๊ด ๆ แทบทุกคืนนับตั้งแต่เกิดมาจนไม่สามารถปล่อยไว้ลำพังได้ ต้องคอยเอามือโอบกอดหรือวางไว้บนหลังหรือท้องเพื่อลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นลูกจะนอนไม่หลับ กลัวอะไรบางอย่าง บางครั้งผมก็ตีลูกเพราะคิดว่าลูกเกเร วันหนึ่ง เราสามคนพ่อแม่ลูกร้องเพลงอธิษฐานกัน ขณะที่สรรเสริญพระเจ้า ลูกสาวก็ร้องไห้ ผมแปลกใจมาก พอสรรเสริญพระเจ้าอีก ลูกก็ร้องไห้อีกและบอกให้หยุดร้องเพลง ไม่อยากได้ยิน ผมจึงรู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ปกติแน่ จะต้องมีอะไรรบกวนลูกแน่ ผมอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยสำแดงให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ตอบและเปิดตาให้ผมเห็นเงาของผู้ที่มารบกวนลูกในรูปแบบต่าง ๆ บางทีก็เป็นเงามืดปกคลุม ผมจึงสั่งในพระนามพระเยซูว่า "ไม่ว่ามันจะเป็นใคร จงไปให้พ้น" มันก็ไป ๆ มา ๆ ผมขอพระเจ้าช่วยให้รู้วิธีกำจัดมัน ต่อมา ผมได้พบอาจารย์ อาเธอร์ นีล ที่เป็นคนช่วยอธิษฐานขับไล่วิญญาณออกจากราชินีแม่มด ดอรีน ซึ่งมีผีถึง 36 ตัว ออกจากเธอ อีกครั้งได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่คาร์ดิฟ ตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ผมรู้สึกมีอะไรบางอย่างพยายามผลักผมออกไปนอกบ้าน ผมไม่ได้บอกให้ลูกและภรรยาทราบเพราะเกรงว่าพวกเธอจะตกใจกลัว เพียงแต่บอกภรรยาให้เอาลูกมานอนด้วย แต่ลูกอยากนอนห้องเด็กซึ่งมีของเล่นมากมาย ผมก็ยอมตาม โดยคอยระวังฟังเสียงลูก ราวตีหนึ่งลูกก็กรีดร้อง ผมวิ่งเข้าไปหา ก็เห็นผี 5-6 ตัวล้อมรอบอยู่ ผมโกรธมาก อยากสู้กับมัน เลยวิ่งเข้าหามัน มันก็วิ่งไล่ ผลักผมล้มลงตัวแข็งทื่อ กระดุกกระเดี้ยไม่ได้ ผมไม่กลัว แม้จะสู้ด้วยแรงตัวเองไม่ไหว แต่ก็รู้วิธีเอาชนะมัน แม้ไม่ได้ออกเสียงเลยก็ตาม ผมพูดในใจว่า "ในพระนามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้นเราเดี๋ยวนี้" ผมเห็นพวกมันเหมือนถูกผลักกระเด้งจนล้ม จึงวิ่งเข้าไปจะจับ มันเลยหายตัวไป วันรุ่งขึ้น เลขานุการของโบสถ์มาเล่าประวัติบ้านนี้ให้ฟัง ผมจึงบอกว่ารู้แล้ว เพราะเมื่อคืนถูกผีรบกวนใหญ่เลย บ้านนี้เคยเป็นที่อยู่ของเด็กติดยาและพวกนี้บูชาซาตานและผีในบ้านด้วย ภายหลังโบสถ์ซื้อบ้านนี้ไว้และพบเทียนเล่มหนึ่ง ศิษยาภิบาลจึงหยิบเทียบเล่มนั้นปาทิ้งลงทะเลโดยไม่ได้ระมัดระวังตัว ไม่ได้อธิษฐานขอการคุ้มครองจากพระเจ้าเสียก่อน ทันทีที่เทียนหล่นลงน้ำ เขารู้สึกเหมือนลมพายุพัดกระโชกเข้าหาตัวรัดคอเขาไว้ จากนั้นก็ไม่สามารถพูดได้อีก หมอบอกว่าต้องเลิกเป็นนักเทศน์เพราะคออักเสบ แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่ายังไง ๆ เขาต้องประกาศพระคำพระเจ้า ปัจจุบันเขายังเป็นนักเทศน์อยู่ ซุ่มเสียงดีขึ้นแล้วเพราะรู้จักวิธีต่อสู้ซาตานดีขึ้น เลขานุการของโบสถ์แปลกใจมากที่เราถูกผีรบกวนเพราะบ้านนี้ได้อธิษฐานถวายพระเจ้าแล้ว อาจารย์อาเธอร์ นีล ก็ได้อธิษฐานขับไล่แล้วด้วย ผมบอกเธอว่า "ฟังให้ดีนะ สิ่งที่ผมรู้มาอาจไม่เหมือนกับที่คุณเคยรู้ คุณปู่เคยอธิบายว่าที่ไหนก็ตามที่วิญญาณชั่วอยู่ที่นั่นก็เป็นของมัน และมันเป็นเจ้าของที่นั่น มันจะไม่ยอมไปจนกว่าจะมีผู้มีอำนาจมากกว่ามาบังคับไล่มันออกไป ถ้าคุณขับผีที่อยู่ห้องนี้ออกไปมันจะหนีไปอีกห้องหนึ่งอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เราต้องขับมันออกไปทีละห้องจนครบทุกห้อง ในบ้านสะอาดปลอดโปร่งแล้ว จึงถวายบ้านให้พระเจ้า" เธอรีบโทรศัพท์เชิญอาจารย์ อาเธอร์ นีล เขาถามว่าผมเห็นอะไรบ้าง ผมจึงอธิบายที่พบเห็น แล้วอาจารย์ อาเธอร์ นีล ก็อธิษฐานขับไล่ เขาบอกว่า "จริงอย่างที่คุณว่า" เนื่องจากเขามีของประทานในการสังเกตวิญญาณ เขาได้เห็นว่ามันหนีออกไปหลบอยู่อีกห้องหนึ่ง เขาสามารถจำแนกความแตกต่างของวิญญาณชั่ว และอธิบายให้ผมฟังว่าวิญญาณชนิดไหนทำหน้าที่อะไร เราร่วมกันอธิษฐานขับไล่ และพาพวกเด็ก ๆ ออกไปจากบ้านเสียก่อน เพราะจำได้ว่าที่สก็อตแลนด์มีการขับไล่วิญญาณชั่ว แต่ทุกคนลืมไปว่ามีเด็กทารกนอนอยู่ในห้อง ผีจึงเข้าไปสิงเด็ก และฆ่าเด็กตาย พวกเด็ก ๆ มักจะไว้ต่อพวกวิญญาณเหล่านี้มาก และถูกโจมตีง่าย เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ผมจึงส่งลูกออกไปอยู่ที่อื่นก่อน แล้วเริ่มอธิษฐานขับไล่ผีกันจนปลอดโปร่งไปทั้งบ้าน จากนั้นถวายบ้านให้พระเจ้า ก่อนหน้านี้ มีมิชชันนารีหลายคู่ถูกผีทำร้าย มีคู่หนึ่งบอกว่า ภรรยากำลังท้องลูกอยู่ ไม่รู้ถูกใครตบจนล้มลงแท้งลูกไปเลย อาจารย์ อาเธอร์ นีล อธิบายให้ฟังว่า "ถ้าเราถูกวิญญาณชั่วรบกวนบ่อย ๆ เราสามารถส่งมันไปนรกได้ก่อนถึงเวลากำหนด โดยพระนามพระเยซู" ผมดีใจที่ทราบเรื่องนี้ และคิดในใจว่าคราวหน้าถ้ามันมาอีกจะต้องจัดการให้เด็ดขาด เวลานั้นผมไปเรียนอยู่ที่ All Nations Bible College ผมอธิษฐานในใจว่า "พระเจ้าข้า ถ้ามีวิญญาณชั่วเข้ามาเมื่อไร ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทราบด้วย" ผมไม่เคยเอ่ยความคิดนั้นออกมา ได้แต่คิดในใจเท่านั้น พวกเราควรรู้ว่า วิญญาณชั่วไม่สามารถรู้อะไรที่อยู่ในใจของเราได้ มันรู้เพียงสิ่งที่เราพูด สิ่งที่แสดงออกมาเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งความคิดในใจ คืนหนึ่ง ลูกสาวของผมสะกิดบอกผมว่า "พ่อ พ่อ นั่นไง มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง" ลูกเห็น ผมไม่เห็น ผมจึงอธิษฐานของพระเจ้าทรงสำแดง แล้วก็เห็นเงาผู้ชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง ผมจึงวางมืออธิษฐานเผื่อลูกสาว และสั่งผีตัวนั้นในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า "นับแต่บัดนี้ไป เจ้าต้องไม่มารวบกวนลูกสาวอีกต่อไป เพราะลูกสาวเป็นของพระเยซู" ผมปลอบลูกสาว ให้เชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกลัวอะไร ขอให้หลับเสีย แต่ลูกก็ไม่หลับ ยังนอนลืมตาจ้องผู้ชายคนนั้นเดินออกไปจากบ้าน ลูกถามผมว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ผมอธิบายว่า เป็นคนไม่ดี แต่ต่อไปนี้ลูกไม่ต้องกลัว เพราะมันรบกวนลูกอีกไม่ได้ ลูกมีพระเยซูที่มีอำนาจเหนือมัน ลูกจะปลอดภัยจากผี วิญญาณชั่ว นับจากนั้นมา ลูกของผมก็ไม่ถูกรบกวนอีก ผมสอนลูกว่า ให้จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และวันข้างหน้า เมื่อมีลูกมีหลานถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็ให้ทำอย่างเดียวกับที่พ่อทำในวันนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรทราบก็คือ ถ้าคุณไม่อยากถูกวิญญาณชั่วรบกวน ก็อย่าไปพูดถึงมันมาก บางคนชอบยกย่องมารร้ายว่ามันเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ รู้อย่างนี้ อย่างโน้น ที่จริงมันไม่ได้เก่งหรือรู้ไปหมดทุกอย่าง อาศัยพวกมากเท่านั้นเอง เราไม่ต้องยกย่องชมเชยความสามารถของมัน ไม่ต้องเอ่ยถึงมัน เราควรอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า พระองค์จะอยู่ด้วยกับเรา ยิ่งเราพูดถึงพระองค์ สรรเสริญพระองค์มากเท่าไร พระวิญญาณของพระเจ้าจะใกล้เรามากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราเข้มแข็ง คนไทยเรามักกลัวผี ที่กลัวก็เพราะชอบพูดถึงผี ยิ่งพูดเราก็จะรู้สึกว่ายิ่งถูกรบกวน ถูกกดดัน ถ้าเราเลิกพูด หันมาพูดเรื่องพระเจ้า วิญญาณชั่วก็จะพ่ายแพ้เรา เพราะมันแพ้พระเจ้า เมื่อถูกวิญญาณชั่วรบกวน เราไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย แต่เรามีอาวุธที่พระเจ้าให้แล้ว คือ สั่งขับผีได้เลย "ในพระนามพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงไปให้พ้น" เมื่อภรรยาของผมทำงานอยู่เวรกลางคืนในโรงพยาบาล คืนหนึ่ง เธอเห็นเงาผู้ชายเคลื่อนเข้าใกล้ โดยมีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ และพยายามจะเอาสิ่งนั้นมาโปะหน้าของเธอ พอเธอเห็นมันเข้าใกล้ เธอตะโกนร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายตัวไป สักครู่มันก็ไปหาอีกคนหนึ่ง เขาก็ร้อง "พระเยซูช่วยด้วย" มันก็หายไปอีก แล้วมันก็กลับมาหาภรรยาของผมอีก กลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ หนัก ๆ เข้า เธอนึกขึ้นได้ว่าผมเคยสอนว่าไม่ต้องขอความช่วยเหลือ แต่ให้ใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซูคริสต์ เธอทำตาม วิญญาณนั้นก็หายไปจริง ๆ ไม่มารบกวนอีก วิญญาณชั่วเป็นเหมือนหมา ถ้าเรากลัวมัน มันจะเข้ามากัด ผมเรียนรู้เรื่องนี้จากหมอเฮนรี่ อาจารย์ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพฯ เราไปประกาศข่าวประเสริฐด้วยกัน เราร้องเรียกให้คนเข้ามาฟังพระคำพระเจ้า มีใครมา มีแต่หมาวิ่งไล่ จนผมต้องวิ่งหนีไปรอบหมอเฮนรี่ ในที่สุดท่านก็ไล่มันไป ท่านบอกว่าผมขาดความเชื่อ ผมถามว่ารู้ได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่ใช่ท่านรู้คนเดียว หมามันก็ยังรู้ ผมจึงได้คิด หมารู้ว่าใครกลัวมัน ท่านบอกว่าถ้าคิดว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่น้อยกว่าละก็ อย่าเชื่อพระองค์เลย ถ้าเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ค่อยเชื่อ จากนั้นผมไม่เคยกลัวอีกเลย วิญญาณชั่วเช่นกัน มันรู้ว่าใครกลัวมัน ซาตานเหมือนสิงห์คำราม คอบจับจ้องคนที่มันจะกัดกินได้ มันทำให้คนกลัว ตกใจ หดหู่ แต่อย่าลืมว่าเรามีสิทธิอำนาจเหนือมัน เพราะเราเป็นคนของพระเยซูคริสต์ เราต้องรู้วิธีใช้สิทธิอำนาจนี้ ดอรีน ราชินีแม่มด ที่กลับใจมาเชื่อพระเยซู เล่าให้ฟังว่า ที่เธอกลับใจเพราะเธอรู้ว่าพระเยซูมีอำนาจเหนือมารซาตาน ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เธอเคยได้ยินคริสเตียนอธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า เธอรู้สึกเกลียดชัง ไม่พอใจ และอยากจะทำร้ายพวกนี้ ดังนั้น เวลามีคริสเตียนเดินผ่านบ้าน เธอจะส่งผีทำร้าย แม้กระทั่งเด็กเล็ก ๆ ที่เชื่อพระเจ้า ผีกลับมาหาเธอด้วยความผิดหวัง เพราะมันแตะต้องคริสเตียนไม่ได้เลย แม้ว่าคนที่เชื่อนั้นเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ เธอจึงคิดได้ว่าพระเยซูต้องมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าซาตาน เธอจึงหันมาหาพระเยซูคริสต์เพื่อปลดปล่อยเธอจากอำนาจของมารซาตาน ดังนั้น เราที่เป็นลูกของพระเจ้าจึงไม่ต้องกลัวผีมารซาตานอีกแล้ว ศาสนาจารย์ สมศักดิ์ ชูสงฆ์ จากหนังสือ พระคริสต์พิชิตซาตาน สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร |
นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ รน.
คุณหมอหัวชนฝา กับวิทยาศาสตร์ แห่งวงการแพทย์
ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนคนเดียวในครอบครัว เป็นคริสเตียนคนเดียวท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ข้าพเจ้าเพิ่งรับเชื่อมาได้ประมาณ 3 ปี การมาพบพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไรนัก แต่หลังจากได้รู้จักพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระองค์คือคำตอบของสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นหามาเป็นเวลานาน
การแสวงหาพระเจ้าของข้าพเจ้านั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ 2 ประการ
ประการแรก คือ เนื่องด้วยอาชีพของข้าพเจ้าที่เป็นแพทย์โรคหัวใจ ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสใกล้ชิดกับความตาย ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าความตายเป็นเพชฌฆาตที่แม่นยำที่สุด อดทนที่สุด เหนือความคาดเดามากที่สุด ไม่เคยมีเหยื่อคนใดที่รอดพ้นไปได้เลย และเมื่อเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าต้องจากไปอย่างกระทันหันด้วยวัยอันไม่สมควรคนแล้วคนเล่า ก็ยิ่งเตือนให้ข้าพเจ้าทราบว่าความตายอยู่ใกล้แค่นี้เอง อยู่ภายใต้เท้าของเราทุกคน และไม่มีอะไรเป็นเครื่องรับประกันว่าจะยังคงมีพรุ่งนี้สำหรับเราแต่ละคน
ข้าพเจ้าได้ดูแลผู้ป่วยใกล้ตายทั้งคนธรรมดาสามัญไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ ทั้งคนยากจนไปจนถึงมหาเศรษฐี ฐานะเงินทองไม่ได้ช่วยให้คนใกล้ตายยอมรับความจริงของชีวิต ตรงข้าม ยิ่งบุคคลที่โลกนี้ยกย่องว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ กลับยิ่งทุรนทุรายต่อความตาย ข้าพเจ้าทราบดีว่าสักวันข้าพเจ้าต้องมาถึงจุดนี้ ต้องติดอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ สายระโยงระยาง เครื่องช่วยพยุงชีวิตอีกมากมาย ข้าพเจ้าถามตนเองว่า เมื่อวันนั้นก้าวย่างมาถึงจริงๆ ข้าพเจ้าจะเอาอะไร เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และรับประกันว่า ข้าพเจ้าเองจะเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายในโลกนี้อย่างมีความสุข และจะผ่านไปโลกหน้าอย่างมั่นใจ
ประการที่สอง เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน เกียรติยศ และฐานะเงินทอง ข้าพเจ้ามีเกือบทุกอย่างที่คนทั่วไปบนโลกนี้อยากจะมี แต่ข้าพเจ้ายังรู้สึกเสมอว่าบางอย่างในชีวิตของข้าพเจ้าหายไป บางอย่างที่จะเติมชีวิตให้เต็ม ข้าพเจ้าแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่อาจเป็นคำตอบของชีวิตไปเรื่อยๆ เมื่อข้าพเจ้ามองหาสิ่งหนึ่งและได้มา ข้าพเจ้าจะชื่นชมอยู่สักพักและมองหาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายต่อไป ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นว่าหากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆแล้วจะหยุดแสวงหาในวันใด จะต้องเหน็ดเหนื่อยดิ้นรนเช่นนี้ไปจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตหรือ เดิมทีเดียวข้าพเจ้าแสวงหาหนทางด้วยตนเอง ข้าพเจ้าพยายามเป็นคนดี รักษาศีลอย่างครบถ้วน จนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักเพื่อนที่เป็นคริสเตียน เธอก้มศีรษะขอบคุณพระเจ้าในมื้ออาหาร ข้าพเจ้านึกขำในความงมงายของเธอ อย่างไรก็ตามหลังจากได้พูดคุยเรื่องความเชื่อของเธอ ศรัทธาที่มั่นคง ทำให้ข้าพเจ้าต้องถามตนเองว่าทำไมคนที่มีการศึกษาขนาดนี้จึงเชิ่อเรื่องพระเจ้า
ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่า เราไม่ควรบอกว่าอะไรจริงหรือไม่จริงก่อนที่เราจะศึกษาด้วยตนเอง บางทีสิ่งนี้อาจเป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าตามหามานานก็ได้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไปโบสถ์คริสเตียนครั้งแรกเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน การตัดสินใจครั้งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้าตลอดไป ข้าพเจ้ายังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าข้าพเจ้าแต่งตัวอย่างดีเนื่องจากท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอังกฤษ และคนอังกฤษในสมัยนั้นจะแต่งตัวอย่างดีที่สุดเพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ในวันนั้นนอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเราสองคนต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อ.ขจร ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ในวันนั้นได้ต้อนรับเราทั้งสองอย่าง เท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน นี่เป็นความประทับใจแรก อย่างน้อยคนของพระเจ้าก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้สอนในวันนั้น คือ
"เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา
ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" [ยอห์น 15:5]
ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" [ยอห์น 15:5]
ข้าพเจ้าไม่เชื่อพระคัมภีร์ข้อนี้แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ามีชีวิตมา 30 ปี ประสบความสำเร็จมากมายโดยไม่รู้จักพระเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า อ.ขจร และพวกที่โบสถ์คงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ด้วยความรู้สึกว่า อ.ขจร เป็นคนดีและอยากช่วยอาจารย์ พ้นจากความงมงาย ข้าพเจ้าตั้งใจจะเปลี่ยนความเชื่อของท่าน และมีอยู่วิธีเดียวที่จะทำได้คือต้องพิสูจน์ให้ อ.ขจร เห็นว่า พระคัมภีร์ไม่จริง ข้าพเจ้าจึงลงมือศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังเพื่อจับผิด และอ่านหนังสือประกอบอีกมากมายทั้งที่เขียนโดยคนที่เชื่อ และไม่เชื่อในพระเจ้า ข้าพเจ้ากลับค้นพบว่า หนังสือมหัศจรรย์ ที่รอดพ้นการทำลาย ครั้งแล้ว ครั้งเล่าเล่มนี้ ได้เปิดเผยเรื่องราวความจริง ที่ข้าพเจ้าเฝ้าค้นหามาตลอด
ในแง่ประวัติศาสตร์ พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเมืองโบราณต่างๆ
ก่อนหน้าปี 1850 ผู้คนรู้จัก อัสซีเรีย จากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี 2 ท่าน คือ Austin Henry Layard และ Hormuzd Rassam ผู้เผยวันเวลาที่หายไปของ ชาวอัสซีเรีย กลับมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์ และเมือง Ur อันเก่าแก่ ถูกค้นพบในปี 1912 หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า 6500 ปี ในช่วงเวลานั้น มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur
การขุดค้นเมือง เยรีโค เมื่อไม่นานมานี้ (1930) พบว่า กำแพงเมืองที่แข็งแรง และหนามากของเมือง ได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ ยังพบธัญพืชจำนวนมาก บรรจุอยู่ใน ภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่า เมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ ที่กล่าวว่า เยรีโคถูกล้อมอยู่เพียง 7 วัน และชาวยิวที่เอาชนะเมืองนี้ได้ ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหาร และเป็นพันธุ์เพื่อการหว่านในปีต่อๆ ไป)
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบเมือง โสโดม โกโมราห์ นีนะเวห์ และอื่นๆ ข้าพเจ้าพบว่า พระคัมภีร์ เป็นหนังสือ ประวัติศาสตร์ ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง
การขุดค้นเมือง เยรีโค เมื่อไม่นานมานี้ (1930) พบว่า กำแพงเมืองที่แข็งแรง และหนามากของเมือง ได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ ยังพบธัญพืชจำนวนมาก บรรจุอยู่ใน ภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่า เมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ ที่กล่าวว่า เยรีโคถูกล้อมอยู่เพียง 7 วัน และชาวยิวที่เอาชนะเมืองนี้ได้ ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหาร และเป็นพันธุ์เพื่อการหว่านในปีต่อๆ ไป)
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบเมือง โสโดม โกโมราห์ นีนะเวห์ และอื่นๆ ข้าพเจ้าพบว่า พระคัมภีร์ เป็นหนังสือ ประวัติศาสตร์ ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง
ทางด้านการแพทย์ แม้ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนแพทย์ ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ต่อร่างกายมนุษย์ สัตว์ที่ยืน 2 ขาตัวตรงชนิดเดียวในโลก สิ่งนี้ ต้องแลกด้วยการออกแบบกระดูกเชิงกรานใหม่ เพื่อให้รับน้ำหนักได้ ขณะเดียวกันต้องมีลักษณะพิเศษเพื่อให้ผู้หญิงสามารถคลอดบุตรได้ สมองส่วนควบคุมการทรงตัวต้องมีประสิทธิภาพสูง ระบบประสาทอัตโนมัติต้องแม่นยำเพื่อรักษาอัตราไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองให้คงที่ ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในท่านั่ง นอน ยืน และวิ่ง จะเห็นว่า เฉพาะเรื่องการยืน 2 ขาอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแล้ว การใช้มือ การใช้ภาษา การใช้เหตุผล อารมณ์ ก็มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารถอย่างซับซ้อน ข้าพเจ้าคิดเสมอว่าธรรมชาติช่างเก่งกาจจริงๆที่สร้างสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ จนข้าพเจ้าได้อ่าน From Nothing to Nature ซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อพระเจ้า ท่านพยายามสร้างรหัสพันธุกรรมพื้นฐานง่ายๆจากอนินทรีย์สารโดยให้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ประจุไฟฟ้า หลังจากการทดลอง 20 ปี ท่านล้มเหลวในการเปลี่ยนอนินทรีย์สารให้เป็นอินทรีย์สาร
ท่านสรุปว่า เป็นไปได้ที่จะบอกว่า มนุษย์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะง่ายกว่ามากถ้าจะบอกว่า ใครบางคนได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ท่านได้ยกตัวอย่างประกอบว่า ถ้าเราพบลูกบอลสีแดงในสนามหลังบ้าน แล้วท่านบอกเราว่า มันเกิดขึ้นเองโดยมีมะพร้าวลูกหนึ่งถูกแมลงเจาะจนเป็นรู หลังจากนั้นมะพร้าวลูกนั้นกลิ้งไปใต้ต้นยางพารา บังเอิญกิ่งยางหัก น้ำยางจึงไหลลงมาในรูนี้พอดี ฝุ่นสีแดงก็ตกลงไปผสมกับน้ำยาง แล้วมะพร้าวลูกนี้กลิ้งออกมา และนกคาบมาทิ้งไว้ที่สนามหน้าบ้าน เราคงไม่เชื่อ เราคงบอกว่าใครบางคนเอามันโยนไว้
ทำนองเดียวกัน รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยรหัสพื้นฐานเพียง 4 ชนิด (A,T,C,G) ต้องเรียงสลับไปมาอย่างถูกต้อง โดยผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียวกว่า 15,000 ล้านรหัส ยากที่จะบอกว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ใครบางคนที่มีความสามารถเป็นเลิศเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา
คำพยากรณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องจำนนต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ล่วงหน้าถึง การมาบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่ออีกเช่นเคย โดยคิดว่าผู้คนได้เขียนพระคัมภีร์เดิมหลังจากพระเยซูมาบังเกิดแล้ว แล้วทำเป็นว่า พยากรณ์ถึงการมาขององค์พระเยซูคริสต์เพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์ แต่การพบ พระคัมภีร์เดิมในถ้ำคุมราน โดยเด็กเลี้ยงแกะ ในปี 1947 และการทดลองคาร์บอน 14 พบว่า พระคัมภีร์เดิมดังกล่าวมี อายุเก่าแก่ก่อนยุคสมัยพระเยซูจริง ทำให้ข้าพเจ้าต้องเชื่อว่า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจริง แต่น่าตื่นเต้นที่สุดคงเป็น การกลับมาตั้งประเทศอิสราเอลได้ใหม่ สมดังคำทำนายในปี ค.ศ. 70 หลังจากที่มั่นแห่งสุดท้าย ของชาวยิว ที่ป้อมมาซาดาพ่ายแพ้ต่อโรมัน ชาวยิวก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้ง ทั้งในสมัยกลางที่กาฬโรคคร่าชีวิตคนยุโรปถึง 2 ใน 3 (คนยุโรปโทษว่าชาวยิวเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย จึงสังหารชาวยิวไปมากมาย) ในสมัยของพระราชินีฮัวน่าและในสงครามโลกครั้งที่สองที่ยิวกว่า 6 ล้านคน ถูกสังหารในค่ายกักกันของนาซี ในที่สุดชนชาติที่ไร้แผ่นดินอยู่และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้งหลายคราได้กลับมาตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ณ แผ่นดินคานาอัน ที่พระเจ้ายกให้เป็นลูกหลานชาวยิวสมดังคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้เมื่อ 2000 ปีก่อน
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ จนข้าพเจ้าได้อ่าน From Nothing to Nature ซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อพระเจ้า ท่านพยายามสร้างรหัสพันธุกรรมพื้นฐานง่ายๆจากอนินทรีย์สารโดยให้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ประจุไฟฟ้า หลังจากการทดลอง 20 ปี ท่านล้มเหลวในการเปลี่ยนอนินทรีย์สารให้เป็นอินทรีย์สาร
ท่านสรุปว่า เป็นไปได้ที่จะบอกว่า มนุษย์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะง่ายกว่ามากถ้าจะบอกว่า ใครบางคนได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ท่านได้ยกตัวอย่างประกอบว่า ถ้าเราพบลูกบอลสีแดงในสนามหลังบ้าน แล้วท่านบอกเราว่า มันเกิดขึ้นเองโดยมีมะพร้าวลูกหนึ่งถูกแมลงเจาะจนเป็นรู หลังจากนั้นมะพร้าวลูกนั้นกลิ้งไปใต้ต้นยางพารา บังเอิญกิ่งยางหัก น้ำยางจึงไหลลงมาในรูนี้พอดี ฝุ่นสีแดงก็ตกลงไปผสมกับน้ำยาง แล้วมะพร้าวลูกนี้กลิ้งออกมา และนกคาบมาทิ้งไว้ที่สนามหน้าบ้าน เราคงไม่เชื่อ เราคงบอกว่าใครบางคนเอามันโยนไว้
ทำนองเดียวกัน รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยรหัสพื้นฐานเพียง 4 ชนิด (A,T,C,G) ต้องเรียงสลับไปมาอย่างถูกต้อง โดยผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียวกว่า 15,000 ล้านรหัส ยากที่จะบอกว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ใครบางคนที่มีความสามารถเป็นเลิศเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา
คำพยากรณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องจำนนต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ล่วงหน้าถึง การมาบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่ออีกเช่นเคย โดยคิดว่าผู้คนได้เขียนพระคัมภีร์เดิมหลังจากพระเยซูมาบังเกิดแล้ว แล้วทำเป็นว่า พยากรณ์ถึงการมาขององค์พระเยซูคริสต์เพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์ แต่การพบ พระคัมภีร์เดิมในถ้ำคุมราน โดยเด็กเลี้ยงแกะ ในปี 1947 และการทดลองคาร์บอน 14 พบว่า พระคัมภีร์เดิมดังกล่าวมี อายุเก่าแก่ก่อนยุคสมัยพระเยซูจริง ทำให้ข้าพเจ้าต้องเชื่อว่า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจริง แต่น่าตื่นเต้นที่สุดคงเป็น การกลับมาตั้งประเทศอิสราเอลได้ใหม่ สมดังคำทำนายในปี ค.ศ. 70 หลังจากที่มั่นแห่งสุดท้าย ของชาวยิว ที่ป้อมมาซาดาพ่ายแพ้ต่อโรมัน ชาวยิวก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้ง ทั้งในสมัยกลางที่กาฬโรคคร่าชีวิตคนยุโรปถึง 2 ใน 3 (คนยุโรปโทษว่าชาวยิวเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย จึงสังหารชาวยิวไปมากมาย) ในสมัยของพระราชินีฮัวน่าและในสงครามโลกครั้งที่สองที่ยิวกว่า 6 ล้านคน ถูกสังหารในค่ายกักกันของนาซี ในที่สุดชนชาติที่ไร้แผ่นดินอยู่และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้งหลายคราได้กลับมาตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ณ แผ่นดินคานาอัน ที่พระเจ้ายกให้เป็นลูกหลานชาวยิวสมดังคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้เมื่อ 2000 ปีก่อน
คงเหลือคำพยากรณ์อีกข้อเดียวที่ยังไม่เกิดขึ้น นั่นคือ การเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์
นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังมีความอัศจรรย์ในแง่ต่างๆ อีกมากมาย เช่น ซากวัตถุขนาดใหญ่บนภูเขาอารารัต ซึ่งเชื่อว่าเป็น เรือโนอาห์ ที่ปัจจุบันถูกถ่ายรูปได้จากดาวเทียม, Hebrew code ที่ซ่อนเร้นไว้ในพระธรรมโทราห์, ความอัศจรรย์ของเลข 7 เป็นต้น
หลังจากศึกษาอยู่ 8 เดือน ข้าพเจ้าก็ยอมจำนนต่อพระคัมภีร์ และรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด ในวันคริสตมาส เมื่อ 3 ปีก่อน
เมื่อเป็นคริสเตียนใหม่ ข้าพเจ้ายอมรับว่าอาย ไม่กล้าบอกใคร เมื่อบอกออกไปก็มักถูกล้อเลียน ... จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เป็นพยาน เรื่องพระองค์ให้ผู้ป่วยใกล้ตายคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 18 ปี ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวของเธอจากการประชุมแพทย์ และทราบว่าเธอได้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการดื่ม Paraquat อันเป็น ยาฆ่าวัชพืชที่มีพิษรุนแรง ต่อมนุษย์ และเธอดื่มเข้าไป เป็นปริมาณมากเกินกว่าที่จะรักษาชีวิตของเธอไว้ได้ เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ตับและไตของเธอได้รับความเสียหายรุนแรงมากแล้ว
ข้าพเจ้าเชื่อเสมอว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปที่ใหญ่หลวงทั้งจากความเชื่อเดิมและความเชื่อใหม่ ข้าพเจ้าทราบดีว่าเธอจะต้องตาย และมีเพียงผู้เดียวที่จะยกโทษให้แก่การกระทำในครั้งนี้ได้ คือ องค์พระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับเธอ และเป็นพยานเรื่องพระองค์
เรื่องราวที่นำเธอมาสู่การทำร้ายตนเองในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดยิ่ง ข้าพเจ้าเองหากต้องเผชิญในสถานการณ์เดียวกับเธอ ก็อาจทำเช่นเดียวกัน เธอตระหนักดีว่ เธอไม่อาจจะรอดชีวิตได้ แต่เราก็ได้อธิษฐานร่วมกันในคืนนั้น ขอพระเจ้าประทานชีวิตและโอกาสแก่เธออีกครั้งข้าพเจ้าอธิษฐานทั้งที่ไม่มีความเชื่อ เพราะข้าพเจ้าทราบความรุนแรงของ Paraquat ดีว่า Paraquat เป็นสารเคมีทีพิษรุนแรง หากได้รับในปริมาณมากกว่า 5 ซีซี ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะเสียชีวิต เธอผู้นี้ได้ดื่ม Paraquat ไปถึง 50 ซีซี ในเวลา 3 วัน กว่าจะถูกนำตัวมารักษา เมื่อมาถึงโรงพยาบาลนั้นเธอมีตับวายและไตวายแล้ว ที่ประชุมแพทย์ลงความเห็นว่า ไม่ต้องให้การรักษาใดๆ เพราะเราจะเสียเธอไปอย่างแน่นอน
น่าอัศจรรย์ที่วันรุ่งขึ้น ไตที่เสียหายอย่างรุนแรง ได้รับการซ่อมแซม ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อ จึงเจาะเลือดพิสูจน์อีกครั้ง ซึ่งผลออกมายืนยัน และตับที่วายก็กลับเป็นปกติใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม Paraquat ยังคงทำลายปอดของเธออย่างต่อเนื่อง ออกซิเจนในเลือดต่ำลงๆ จนข้าพเจ้าหมดหวังในการหายของเธอ
ระหว่างนี้เองมีเพื่อนแพทย์อีก 3 ท่านได้มาดูผู้ป่วยรายนี้ และสนใจเรื่องของพระเจ้า ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่า พระเจ้าทรงชะลอเวลานี้ไว้เพื่อดึงจิตวิญญาณผู้อื่น มาถึงความรอดของพระองค์
หลังจากที่อยู่โรงพยาบาลกว่า 40 วัน และออกซิเจนในเลือดต่ำลงจนอาจไม่สามารถที่จะรอดชีวิต มีผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรายหนึ่ง ได้อุทิศปอดให้แก่เธอ เธอได้รับการเปลี่ยนปอด และรอดชีวิต
น่าอัศจรรย์ที่วันรุ่งขึ้น ไตที่เสียหายอย่างรุนแรง ได้รับการซ่อมแซม ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อ จึงเจาะเลือดพิสูจน์อีกครั้ง ซึ่งผลออกมายืนยัน และตับที่วายก็กลับเป็นปกติใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม Paraquat ยังคงทำลายปอดของเธออย่างต่อเนื่อง ออกซิเจนในเลือดต่ำลงๆ จนข้าพเจ้าหมดหวังในการหายของเธอ
ระหว่างนี้เองมีเพื่อนแพทย์อีก 3 ท่านได้มาดูผู้ป่วยรายนี้ และสนใจเรื่องของพระเจ้า ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่า พระเจ้าทรงชะลอเวลานี้ไว้เพื่อดึงจิตวิญญาณผู้อื่น มาถึงความรอดของพระองค์
หลังจากที่อยู่โรงพยาบาลกว่า 40 วัน และออกซิเจนในเลือดต่ำลงจนอาจไม่สามารถที่จะรอดชีวิต มีผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรายหนึ่ง ได้อุทิศปอดให้แก่เธอ เธอได้รับการเปลี่ยนปอด และรอดชีวิต
พระเจ้า เป็นพระเจ้า พระองค์ได้รักษาชีวิตของเธอผู้นั้นไว้ โดยพระคุณของพระองค์ด้วยการหายที่อัศจรรย์ เธอผู้นั้นรอด ทั้งที่ในฐานะแพทย์ ข้าพเจ้ารู้อย่างแน่ชัดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยความสามารถทางการแพทย์ในปัจจุบัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าตระหนักอย่างแท้จริงถึงฤทธานุภาพของพระองค์ ข้าพเจ้ามั่นใจมากขึ้นในการดำเนินชีวิตกับพระองค์ เป็นพยานเรื่องพระองค์ อธิษฐานด้วยความเชื่อ และครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระองค์กระทำสิ่งที่เกินความคิด ความเข้าใจ แก่ชีวิตผู้ป่วยผ่านสายตาของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณที่ไม่มีสิ้นสุด อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าขอบางสิ่งจากพระองค์และพระองค์ไม่ตอบคำอธิษฐาน ด้วยความผิดหวัง เสียใจ ข้าพเจ้าตั้งใจจะเลิกติดตามพระองค์ แต่เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้รับจดหมายที่เขียนข้อพระคัมภีร์ ที่ว่า
"อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง"
ผู้ที่เขียนจดหมายได้บอกกับข้าพเจ้าว่า รู้สึกอยากจะฝากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ทั้งที่ทราบว่าปกติข้าพเจ้าเป็นคนร่าเริงไม่มีทุกข์ร้อนเรื่องอะไร ต่อมามีพี่น้องจากโบสถ์อื่นมาเยี่ยมเยียนที่ทำงานและหนุนใจมาก (ขณะนั้น คนรอบข้าง ข้าพเจ้า ไม่มีใครเป็นคริสเตียนเลย) ข้าพเจ้าหยิบพระคัมภีร์มาอ่านและพบข้อความที่ตรงกับความรู้สึกในขณะนั้นพอดี และเมื่อเปิดวิทยุ ฟังก็เป็นเพลง His Love is Mine พอดีอีกเช่นกัน
ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มีเหตุการณ์ 4 อย่างเกิดขึ้น เพื่อเตือนให้ข้าพเจ้าทราบว่า พระองค์ยังคงเป็น พระเจ้าที่สัตย์ซื่อ พระองค์มาตามข้าพเจ้ากลับไป ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักยิ่งใหญ่ที่หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ด้วยความตื้นตัน เป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่ทราบว่าตนเองเป็นที่รัก ทั้งที่ทำตัวไม่น่ารัก ท่ามกลางคน 6,000 ล้านคนในโลกนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เอาแต่ใจ พระองค์ยังตามหาเพื่อจะบอกว่าแม้มนุษย์ต่ำต้อยคนเดียวก็มีความหมายในสายพระเนตรของพระองค์
ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มีเหตุการณ์ 4 อย่างเกิดขึ้น เพื่อเตือนให้ข้าพเจ้าทราบว่า พระองค์ยังคงเป็น พระเจ้าที่สัตย์ซื่อ พระองค์มาตามข้าพเจ้ากลับไป ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักยิ่งใหญ่ที่หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ด้วยความตื้นตัน เป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่ทราบว่าตนเองเป็นที่รัก ทั้งที่ทำตัวไม่น่ารัก ท่ามกลางคน 6,000 ล้านคนในโลกนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เอาแต่ใจ พระองค์ยังตามหาเพื่อจะบอกว่าแม้มนุษย์ต่ำต้อยคนเดียวก็มีความหมายในสายพระเนตรของพระองค์
ข้าพเจ้าได้ตระหนักว่า ทั้งที่ข้าพเจ้าเองไม่ได้เป็นคนที่ขาดความรัก เมื่อพระเจ้าเทความรักของพระองค์ลงมา ข้าพเจ้ายังมีความสุขถึงเพียงนี้ หากคนที่ไม่ค่อยได้สัมผัสความรัก จะมีความสุขสักเพียงใด
เหตุการณ์นี้ยังได้สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้าด้วย ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า การที่พระเจ้าทรงตอบ คำอธิษฐานมากมายของข้าพเจ้า เป็นเพราะข้าพเจ้าเองแสวงหาพระองค์ ความรู้สึกดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่ถ่อมใจ แต่เหตุการณ์นี้กระทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาพระองค์ พระองค์ต่างหาก ที่แสวงหาข้าพเจ้า สิ่งที่พระเยซูทำที่กางเขนเมื่อ 2000 ปีก่อนเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้อย่างดี ไม่ใช่เฉพาะข้าพเจ้าที่พระองค์ตามหาหากแต่เป็น มนุษย์ทุกคนที่ถ่อมใจลง ฟังเสียงเรียกด้วยความรัก ความห่วงใยของพระองค์ เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในการกระทำที่เสียสละนี้ จะรอด ไม่ว่าจะเป็นคนโง่หรือฉลาด ยากจนหรือร่ำรวย เป็นกษัตริย์หรือสามัญชน พิการหรือปกติ เจ็บป่วยหรือแข็งแรง ทุกคนสามารถจะมีความเชื่อ และรับความรอดได้เท่าๆ กัน นี่คือความยุติธรรมจากของขวัญแห่งความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
หลังเหตุการณ์นี้ผ่านไป 3 เดือน พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า ทำไมพระองค์จึงไม่ตอบคำอธิษฐาน ในวันนั้น หากข้าพเจ้าได้ตามที่ขอในวันนั้น วันนี้ข้าพเจ้าคงเดือดร้อนพอสมควร ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเรื่องราวบางอย่างที่เราคิดว่าดี และทูลขอต่อพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงรู้ดีกว่าและจัดเตรียมให้เฉพาะสิ่งที่ดีต่อเราเท่านั้น ข้าพเจ้าตัดสินใจ ที่จะติดตามพระองค์ไป ชั่วชีวิต ไม่ว่าพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของข้าพเจ้าหรือไม่ เพราะข้าพเจ้าได้ตระหนักแล้วว่า ความรัก ความรอด ที่พระองค์มอบให้ ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับนั้นเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนไม่เชื่อ แต่ด้วยท่าทีและความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ข้าพเจ้าไม่มีความ รู้สึกอับอายอีกต่อไป ตรงข้าม ข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาเหล่านั้นไม่ตระหนักว่าทรัพย์สิน เงินทอง การยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์ เกียรติยศ และของทุกอย่างในโลกนี้ไม่อะไรเลยที่ทำให้อิ่มใจได้ มี เพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่จะเติมหัวใจของเราให้เต็ม ด้วยความรักของพระองค์คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจึงต้องวิ่งหาสิ่งต่างๆจนตลอดชีวิต และตายไปทั้งที่ยังหิวกระหาย เราในฐานะที่เป็นคริสเตียน เรามีสิ่งที่ดีที่สุด ที่ไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ นั้นคือ องค์พระเยซูคริสต์ ความรัก และความรอดของพระองค์
ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนไม่เชื่อ แต่ด้วยท่าทีและความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ข้าพเจ้าไม่มีความ รู้สึกอับอายอีกต่อไป ตรงข้าม ข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาเหล่านั้นไม่ตระหนักว่าทรัพย์สิน เงินทอง การยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์ เกียรติยศ และของทุกอย่างในโลกนี้ไม่อะไรเลยที่ทำให้อิ่มใจได้ มี เพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่จะเติมหัวใจของเราให้เต็ม ด้วยความรักของพระองค์คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจึงต้องวิ่งหาสิ่งต่างๆจนตลอดชีวิต และตายไปทั้งที่ยังหิวกระหาย เราในฐานะที่เป็นคริสเตียน เรามีสิ่งที่ดีที่สุด ที่ไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ นั้นคือ องค์พระเยซูคริสต์ ความรัก และความรอดของพระองค์
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ รน. จากหนังสือ คำตอบชีวิต