บทความ


26 สิงหาคม 2012

19 สิงหาคม 2012
M520 เรื่อง คำขอสุดท้ายของอุ่นเรือน
คนไข้อุ่นเรือนอายุ22ปีเป็นไข้สูงมาสามวันแล้ว มีอาการหอบเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
ฉันเลือบมองไปที่เตียงคนไข้ที่ครอบหน้ากากออกซิเจนบนใบหน้า กระนั้นรูจมูกยัง
บานพะเยิบพะยาบ ร่องไหปลาร้าบุ๋มลึกยามสูดลมหายใจเข้าอย่างลำบากในแต่ละครั้ง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นใบหน้าที่ซีดเซียว เรือนร่างที่ผ่ายผอม ยกเว้นท้องที่นูนเห็นเด่น
ชัด เธอตั้งครรภ์ได้แปดเดือนเต็มเมื่ออ่านประวัติการรักษาของของแพทย์ เธอยังเป็น
โรคเอดส์ ไม่มีสามี ตั้งครรภ์มาจากกรุงเทพกลับบ้านที่อุทัยได้ไม่กี่วันก็นอนซมเพราะ
พิษไข้ พ่อแม่เธอจึงได้นำส่งมาโรงพยาบาล "หมอ.." เธอคว้ามือฉันไว้พรางปลดหน้ากาก
ลง "วันนี้.ลูกฉันไม่ดิ้นเลย"..."ลูกไม่ดิ้น" ฉันคิดในใจ"นี่แหละ ที่ฉันต้องมาดูอาการเธอ
อายุรแพทย์บอกเธอติดเชื้อ พีซีพี ในปอดซึ่งเป็นเชื้อที่พบในเอดส์ระยะสุดท้าย อาการ
ของเธอจะทรุดลงเรื่อยๆเข้าใจว่าคงไม่มีทางรอด ถ้าเธอตายลูกในท้องก็ต้องตายตาม
อย่างแน่นอน เรื่องลูกในท้อง..จะทำอย่างไรดี" ฉันหันไปมองหน้าอายุรแพทย์ "ฆ่าแม่
เอาลูกไว้...เช่นนั้นหรือ" เพียงแค่คิดฉันก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด แต่ถ้าไม่ผ่าเอาเด็ก
ออก มีหวังตายทั้งแม่ทั้งลูกอย่างแน่นอน ฉันบีบขมับตัวเอง มองดูอุ่นเรือน แม้เธอยัง
หอบอยู่เธอก็พยายามถามย้ำคำถามเดิม "หมอ..ลูกไม่ดิ้น..ลูก..จะ..เป็น..ไร..หรือ.เปล่า"
"ตอนนี้หัวใจเด็กยังเต้นดีอยู่ค่ะ อุ่นเรือนทำใจให้สบายนะ" "หมอ..ถ้า..ฉัน..เป็นไร.."
เธอสบตาฉัน.."หมอ..ช่วย ย..ลูก..หนู..ด้วย.นะ" เหมือนมีอะไรมจุกอยู่ที่คอกับคำพูดนี้
ถ้าฉันบอกความจริงว่าถ้าผ่าเอาลูกออกเธอต้องตาย เธอก็คงยินดี..ฉันเชื่อ..แต่พูดไม่ออก
จึงให้พยาบาลไปตามญาติคนไข้มาพบ...พ่อแม่อุ่นเรือนก็เหมือนชาวไร่ทั้วไปท่าทางออก
เกร่งๆ จนทั้งสองมีท่าทีที่สบายใจขึ้นฉันจึงเริ่มขอคำปรึกษาอย่างไม่รีบเร่ง "คุณอุ่นเรือน
ตอนนี้เธอท้องได้แปดเดือน แต่ตอนนี้ปอดของเธอติดเชื้อทำให้เธอหอบเหนือยมากและเธอ
มีโอกาสที่จะรอดน้อยเต็มที ถ้าไม่ทำอะไร คงต้องเสียทั้งแม่และลูกไป "หมอก็ผ่าเอาลูก
มันออกไป ให้แม่มันรอด" หญิงชราบอกขณะยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา ฉันถอนใจเพราะนั่น
มันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม "คุณลุงคุณป้า ถ้าหมอพยายามผ่าตัดเอาเด็กออกจากท้องแม่
เด็กอาจจะรอด แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยทั้งแม่และลูกมีหวังไม่รอด ทั้งสองมองหน้าฉันอย่าง
ไม่เข้าใจ "เอาเป็นว่า หมอจะทำอย่างไรให้ลูกของฉันรอดก็พอ" หญิงชราก้มหน้าตอบ
"คุณลุงคุณป้าค่ะ คุณอุ่นเรือนอาการหนักมากอย่างไรก็ไม่รอดจะช้าหรือเร็วเท่านั้น หมอ
ถามตรงๆ คุณลุงคุณป้าจะเอาหลานไว้ไหม ถ้าเอาหมอจะผ่าออกแต่แม่คงจะเสียชีวิต"
"เอ้า..อุ่นเรือนจะต้องตายหรือ หมอต้องช่วยมัน ต้องช่วยมันอย่าให้มันตาย" หญิงชราปิด
หน้าร้องไห้คร่ำครวญขณะพ่อของอุ่นเรือนกัดกรามตาแดงพูดอย่างตัดสินใจแล้วว่า "ก็แล้ว
แต่หมอ..ก็แล้วกัน".......ฉันกลับเข้าไปดูอาการของอุ่นเรือนที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว "เธอจะ
ให้หมอผ่าเอาลูกออกไหม ถ้าเด็กยังอยู่ในท้องคงแย่แต้ถ้าผ่าออกเธอจะทนไม่ไหว" เธอ
เหนื่อยจนพูดเกือบไม่ออก "หมอ..หนู..ยอม..ตาย..เอา..ลูก..หนู..ให้..รอด..ก็.ก็..พอ"
เธอพูดๆหยุดๆขณะหอบจนตัวโยนมือสั่นเทายกขึ้นไหว้เหมือนขอคำสัญญาจากฉันเมื่อเห็น
ฉันผยักหน้าให้ ปรากฎรอยยิ้มบางๆทั้งน้ำตาผ่านดวงตาที่ใสแจ๋วที่ตรงกันข้ามกับอาการ
ของเธอ.......ฉันตัดสินใจในนาทีนั้น..บอกห้องผ่าตัดพร้อม...!!..ทารกเพศหญิงตัวเล็กจิ๋วตัว
อ่อนปวกเปียกผิวซีดบางจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิว..ไม่มีเสียงร้อง..ร่างจ้อยนั้นหายใจกระตุก
สองครั้งขณะฉันรีบส่งเด็กให้กุมารแพทย์รีบรับไปเข้าตู้อบ....ขณะมืออีกข้างคว้าผ้าสวอบ
ที่ใช้ซับเลือดยัดเข้าไปในช่องมดลูกเพื่อหยุดการไหลของเลือดชั่งคราว ขณะเสียงวิสัญญี
พยาบาลร้องบอก "หมอ..หมอ..แม่เด็กหยุดหายใจแล้ว"....แทบไม่อยากออกไปเจอหน้า
พ่อแม่อุ่นเรือน สูดหายใจลึกๆเมื่อออกไปเผชิญหน้า "หมอเสียใจด้วย หมอทำดีที่สุดแล้ว"
(ไม่อาจบอกไปมากกว่านี้ มันเป็นจรรยาแพทย์ ที่บอกใครไม่ได้ว่าแม่เด็กเป็นโรคเอดส์)
แม่อุ่นเรือนร้องไห้โฮขณะที่พ่อกัดกรามแน่นแล้วเสียงตัดพ้อของหญิงชรารางมีดที่เสียบทะลุ
หัวใจของฉัน "อุ่นมันทนการผ่าไม่ไหว แล้วมันต้องตาย หมอยังจะผ่าเอาเด็กออกให้แม่มัน
ตาย..ทำไม?" นั่นนะสิ..ทำไม?..ทำไม?..นี่ฉันทำถูกไหม?..ค่ำคืนนั้นฉันกลับมายังที่พัก
ใจหมองหม่น "คนเรามีสิทธิเลือกที่จะตายเพื่อหนึ่งชีวิตที่จะรอด.ไหม?" สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ
ขณะนั่งซึมกระทืออยู่บนระเบียงบ้านซบหน้าลงกับแขนและรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดสะท้านใจ
กับการตายของแม่เพื่อให้ลูกมีชีวิตอยู่....เย็นวาบที่ท้ายทอยรางมีใครมาลูบ..หันหลังกลับ
ไปดู เห็นคนไข้อุ่นเรือนในชุดขาวบริสุทธิ์..ใบหน้าเธอยิ้มละไม..เธอเอื้อมมือมาลูบที่นิ้วก้อย
ของฉันบางเบา ความอบอุ่นประหลาดแล่นสู่ขั้วหัวใจ เธอน้อมหัวลงกล่าว ขอบคุณ ก่อนจะ
จางหายไป...พอสะดุ้งตื่นจึงรู้ว่าฝันไป...... สัปดาห์ต่อมาฉันได้แวะเยี่ยมลูกของอุ่นเรือนที่
ห้องเด็กอ่อนเหมือนทุกวัน ไม่น่าเชื่อเพียงเจ็ดวันเด็กหญิงคนนี้สามารถออกจากเครื่องช่วย
หายใจได้ แม้ยังต้องอยู่ในตู้อบเมื่อเข้าดูใกล้ๆผ่านกระจก จะเห็นใบหน้าเล็กๆผิวชมพูอ่อน
ปากนิดจมูกหน่อยน่ารักจนอดยื่นมือที่ฆ่าเชื้อแล้วเข้าไปในตู้อบไม่ได้ ทารกน้อยใช้นิ้วคว้า
นิ้วก้อยของฉันหมับ..ฉันรู้สึกอุ่นวาบที่นิ้ว..ดวงตาทารกน้อยลืมขึ้น ปรากฎรอยยิ้มจางๆบน
ริมฝีปากน้อยๆ...เหมือนใครสักคนที่ส่งยิ้มให้แล้วบอกว่า.หมอ.ขอบคุณค่ะ..ลูกรอดแล้ว!!
ฉันยืนตะลึงอยู่ด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว..นิ้วน้อยๆยังกำแน่นเหมือนย้ำว่า"ชีวิตหนึ่งได้รอดแล้ว"
@นั่นสิ? "คนเรามีสิทธิเลือกที่จะตายเพื่อให้หนึ่งชีวิตจะรอด..ไหม?"

12 สิงหาคม 2012
M518 เรื่อง คำ..แม่สอน
แม่..ครูประจำตัวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตั่งแต่แรกเกิดและยาวนานไปอีกหลายสิบปี
สอนคลาน สอนเดิน สอนพูด สอนคุณทำอย่างไรในชีวิตคุณก็จะได้อย่างนั้น ฉะนั้น
คำสอนต่อไปนี้ก็ช่างน่าอัศจรรย์ที่ช่วยให้พวกเราได้ตระหนักอยู่เสมอในการใช้ชีวิต.
การเติบโต "ลูกเล็งเป้าไว้ตรงไหน คิดวางแผนการไว้อย่างไร ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่..?
มันเป็นชีวิตของลูกกับสิ่งแวดล้อม บางครั้งสิ่งที่ลูกต้องการกับสิ่งที่ลูกได้มา บางทีมัน
คนละเรื่องกันเลย บอกก่อนไม่ได้หรอกว่ามันยุติธรรมหรือไม่"แต่ก็ต้องรับผิดชอบกันไป.
การวางตัว "จงวางเฉยกับเรื่องราวที่ไร้ค่า และให้ความสำคัญกับคำพูดที่ล้ำค่าก็ดีกว่า
มาก บางเรื่องราวยิ่งฟังเหมือนมองหาฝั่งไม่เจอ เลยเถิดออกทะแลไปจนไกลโพ้นยากนำ
ไปปฎิบัติ เทียบกับคำแนะนำที่ทำให้ตัวเราเจริญและดีขึ้นก็เป็นสิ่งที่ควรจดจำและทำตาม"
การอดทน คำสอนของแม่นี้ต้องจำฝังใจ "อดทนไม่ใช่แค่คำพูด" เมื่อเด็กเดินไปโรงเรียนจาก
บ้านระยะไกลโข แม่สอนด้วยการเดินไปส่งเราและรับกลับ เป็นการสอนการกระทำที่ทำให้
เราจดจำจนทุกวันนี้
สอนให้สามัคคี "ทุกคนในครอบครัวต้องมีหน้าที่" การสามัคคีในครอบครัวตามหน้าที่ที่ตัว
เองได้รับมอบหมาย เป็นคำสอนที่แม่ย้ำกับลูกๆเมื่อตอนผ่านภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว
สอนให้มั่นใจ "แม่เชื่อในความคิดและการตัดสินใจของลูก ทำในสิ่งที่อยากทำเถอะ ไม่ว่าผล
จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยยังมีพ่อแม่ที่จะอยู่ข้างลูกเสมอ"
สอนให้เป็นคนดี "ไม่เป็นไร" คำพูดที่มักจะออกจากปากแม่ "คนเราทำผิดได้ก็แค่แก้ไข แต่
ลูกจะต้องเป็น คนดี พูดดี คิดดี และเริ่มต้นการปฎิบัติด้วยความซื่อตรง"
สอนให้รักเรียน "การศึกษาเป็นสมบัติที่จะติดตัวลูกไปจนวันตาย มันเป็นใบเบิกทางที่จะพา
ลูกไปได้ในทุกที่ ที่ลูกสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์"
สอนให้ประหยัด "ของหายต้องหา ของเสียต้องซ่อม อย่ากิน อย่าใช้ของ อย่างทิ้งขว้าง"
แม่ไม่ได้มีชีวิตที่จะอยู่ค้ำฟ้า ชีวิตแม่ก็แค่ขอนไม้ที่รอวันจม สิ่งดีที่สุดที่แม่จะทำได้ก็แค่ส่ง
ลูกให้ถึงฝั่ง เมื่อถึงแล้วลูกคงต้องเดินด้วยลำแข้งของตัวเองให้มั่งคง..
@....และ..เราคงไม่ลืม..หันกลับมามอง..ขอนไม้ใกล้ฝั่งที่ได้ส่ง..เรามา..ใช่ไหม?.

5 สิงหาคม 2012
M517 เรื่อง เล่าเรื่องแม่...(นิดเดียว)
นานมากแล้ว..ที่ยังจำได้ ทั้งวันแม่ของผมจะคลุกอยู่กับกองเสื้อผ้า เช้าซักบ่ายรีดถึงค่ำ
(แม่มีอาชีพซักผ้า) แต่แม่ก็ยังหาเวลามาไล่จับลูกชายที่ซนมาก ไปอาบน้ำและทำกับทำ
ข้าวให้กิน แม่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนลูกชายอายุขวบมีคนมีฐานะมาขอซื้อ แม่หัวเราะชอบ
ใจ วันรุ่งขึ้นเธอเอาลูกชายอาบน้ำปะแป้งแก้ผ้าแล้วจัดนั่งบนโต๊ะกลมให้ถ่ายรูปแล้วนำไป
แปะไว้เหนือโต๊ะรีดผ้าเหมือนอยากบอกให้รู้ว่า "ลูกข้าใครอย่าแตะ" ผมบอกแม่ว่าถ้าเป็น
สมัยนี้ต้องติดคำว่า Seal ด้วยแปลว่า ลดราคา แม่หัวเราะ.
แม่เป็นคนเรียนน้อย เรียกว่าไม่เคยไปโรงเรียนดีกว่า แต่เธอทันสมัยชอบที่จะเรียนรู้ เธอมี
ความสามารถหลายอย่าง งานการฝีมือเย็บปักถักร้อยแม้แต่อ่านหนังสือเธอก็ใช้การลักจำ
เอา และคงประมาณได้ว่าถ้าลูกไม่ได้เรียนหนังสือลูกเธอต้องเป็นคน "โง่แน่ๆ" เธอจึงนำทุก
บาทที่มีส่งลูกไปเรียนอนุบาลตั่งแต่ 5 ขวบ(ปี พ.ศ.2499)และต่อด้วยโรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็น
โรงเรียนราษฎร์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ...ผู้หญิงคนเดียวกันนี้ไม่เคยหยุดอาชีพซักรีดจน
กระทั่งลูกชายเธอเรียนจบ และยังขนขวายต่อที่จะฝากงานกับคนรู้จักให้เข้าทำงานเกียวกับ
งานขนส่งในฐานทัพอเมริกันในสมัยนั้น (เธอบอกว่า ดีแน่ๆไม่ต้องไปเรียนภาษาที่เมืองนอก).
ปี พ.ศ.2514 ครอบครัวเราย้ายจาก สลัมของคนจีน(บางรัก) ที่กรุงเทพสมัยยังไม่มีตึกสูงๆ
(แม่ขายบ้าน12ตารางวาหลังนั้นไปประมาณแสนห้าราคาตอนนี้คงประมามากกว่าสิบล้าน)
มาอยู่ดินแดนรกร้าง(ตอนนั้นผมคิดเอง) ทั้งที่ใกล้ศาลากลางจังหวัดแค่ไม่ถึงกิโล(แต่ตอนนี้
เจริญแล้วนะ) ไม่น่าเชื่อผ่านมาถึงวันนี้(พศ2555) 40ปีผ่านไปเธอรู้เส้นทางแค่จากบ้านมา
โบสถ์และเลยไปตลาดเท่านั้นเอง เส้นทางอื่นอย่าได้ถามเพราะไม่เคยอยู่ในความคิดนอกจาก
จำเป็นจริงๆหรือถูกอ้อนวอนแกมบังคับ จะมีก็ปีพศ2525 นั่นแหลที่แม่ตั่งใจกลับเข้ากรุงเทพ
อีกครั้งเพราะเธอได้หลานชาย ....ถึงวันนี้สำหรับเธอแล้วทุกสิ่งในชีวิตคงที่ เหมือนตารางสอน
จะมีที่เพิ่มเติมบ้างก็แค่ เป็นหมอสามัญประจำโบสถ์ใคร ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ในเบื้องต้นไป
หาเธอได้..ด้วยการจ่ายยา..พาลา..และตามด้วยคำสั่ง.."เอายาขมไปกิน"
"แม่.แม่ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างก็ได้" บ่อยครั้งพวกเราจะคะยั้นคะยอแต่จะถูกตอบกลับด้วยคำ
พูดประโยคเดียวกันทุกครั้ง "..เสียดายตัง" "เอาแล้วทีแม่เอาตังไปซื้อของไปแจกคนอื่นเขาเล่า"
"ก็เขาไม่มีตัง" เอ้าจบ?...เรื่องของแม่ของทุกคน ถ้าเอามาเล่าคงมีมากมายไม่รู้จบ แต่แปลกนะ
เรารักผู้หญิงคนนี้ แต่เรากับให้เวลาเธอน้อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เธออายุมากแล้วและคงจะ
อยู่กับคุณได้อีกกี่ปี?  เวลามันวิ่งนะบอกให้รอก่อนคงไม่ได้ รักเธอต้องดูแลด้วยไม่ใช่พูดแต่ปาก
ก่อนคิดได้...มันอาจไม่ทันการณ์.
@คุณยังคงมองดู..และรักผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม? คนที่คอยดุคุณแต่คุณโกรธไม่ได้แถมบ่อยครั้ง
ยังทำคุณอมยิ้มได้เสมอ เพราะคุณไม่เคยโตในความรักของเธอ! คนที่ต้องคอยชวนคุณไปทาน
ข้าวด้วย ขณะที่คุณเที่ยวนัดและรอให้คนอื่นมากินข้าวด้วย? คนที่พร้อมจะให้ทุกสิ่งที่เธอมีแต่
เรากับไม่ค่อยจะรับรู้ในสิ่งที่เธออยากได้!?..แล้วตอนนี้ จะไปหาเธอได้หรือยัง? "รักแม่..ที่สุด"

29 กรกฎาคม 2012
P708 เลวีนายด่านภาษี (มาระโก บทที่ 2)
ครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงเสด็จไปตามริมทะเลสาบในเมืองคาเปอรนาอุมทรงเห็น
ชายคนหนึ่งชื่อ เลวี  จึงทรงตรัสแก่เขาว่า "จงตามเรามา" เลวีก็ลุกตามพระองค์ไป
ยังความสงสัยกับประชาชนและธรรมาจารย์ที่เป็นพวกฟาริสีเป็นอย่างมาก เมื่อ
ร้องถามพระองค์ว่า "เหตุใดพระองค์ทรงต้องให้ความสนิดกับพวกคนเก็บภาษีด้วยเล่า"
แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย ครั้งเมื่อพระองค์ทรงเข้าประทับในเรือนของเลวีและตรัสสังสอน
ทั้งพวกเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆอีกหลายคนยิ่งทำให้พวกธรรมาจารย์ข้องใจและ
ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ว่าทำไมพระองค์ต้องมาเสียเวลากับพวกคนบาปเหล่านี้แทนที่
จะใช้พระวิหารในการสั่งสอนแทน แต่พระองค์ก็ยังเฉยอยู่อีก และยิ่งเมื่อเห็นพระองค์
ทรงเสวยพระกระยาหารร่วมโต๊ะด้วย ความอดทนเป็นอันสิ้นสุดลง จึงถามศิษย์ของ
พระองค์ด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า "เหตุไฉนอาจารย์ของท่านจึงให้ความสำคัญและร่วม
รับประทานอาหารกับพวกเก็บภาษีที่คนทั้งหลายรังเกียจและพวกคนบาปนอกรีต
เหล่านี้ด้วยเล่า" ครั้งพระเยซูทรงได้ยินจึงได้ทรงตรัสแก่พวกเขาว่า "คนเจ็บต้องการหมอ
แต่คนสบายคงไม่ต้อการ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกและสั่งสอน คนที่พวกท่านเห็นว่าเป็น
คนชอบธรรม แต่เรามาตามหาคนที่พวกท่านเรียกว่า นอกรีตและคนบาป ต่างหาก"....?
@คนเก่งคนฉลาดย่อมรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควรอะไรไม่ควรทำ แค่คำแนะนำก็เพียงพอ
แต่กับคนที่ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดหรือถูก ถ้าไม่มีใครสักคนเริ่ม สั่งและสอน แล้วใครจะทำเล่า?
หรือเราคิดว่ามันไม่จำเป็น!???
ปัญญาจารย์5:1-2 เจ้าจงระวังเท้าของเจ้า เมื่อเจ้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า เพราะการเข้า
ใกล้ชิด เพื่อจะฟัง ก็ดีกว่าคนเขลาถวายสักการบูชาแต่ไม่ฟัง ด้วยว่าเขาไม่รู้ตนกำลังทำผิด
อย่าให้ใจของเจ้าเร็ว และอย่าให้ปากของเจ้าพูดโพล่งๆต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่า
พระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้น เจ้าจงพูดให้น้อยคำ.
@ "มีวาระสำหรับทุกสิ่ง" ปัญญาจารย์ บทที่3

22 กรกฎาคม 2012
378 เรื่อง เศรษฐีเจ้าเล่ห์
นานมาแล้วยังมีเศรษฐีเจ้าเล่ห์ที่หารายได้จากการขุดรีดดอกเบี้ยจากการจำนองที่ทำไร่
ทำนา โดยการทำยอดเงินสูงกว่าความเป็นจริงเพราะผู้กู้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั่นเอง
วันหนึ่งเศรษฐีผ่านมาที่นาแปลงหนึ่งเพื่อทวงดอกเบี้ยที่ค้างมาหลานเดือน ซึ่งชาวนาได้
ขอผลัดว่าในอีกเจ็ดวันข้างหน้าเมื่ิอขายข้าวได้จะนำไปชำระให้ ขณะลูกสาวกำลังตัดแต่ง
สวนดอกไม้อยู่ข้างบ้าน ครั้งเศรษฐีได้เห็นตัวลูกสาวชาวนาก็เกิดชอบอกชอบใจเป็นอย่าง
มาก จึงหาเรื่องชักชวนให้ชาวนาพาลูกสาวไปแต่งสวนให้ด้วยในอาทิตย์หน้า......
อาทิตย์ต่อมาที่คฤหาสน์ของเศรษฐีเมื่อชาวนาและลูกสาวมาถึง เศรษฐีได้พาทั้งสองมาที่
สวนกรวดที่กว้างใหญ่ที่มีเพียงกรวดสีขาวและสีดำวางบนกันอยู่จนลายตา แต่แทนที่
เศรษฐีจะพูดเรื่องการแต่งสวนกับยื่นข้อเสนอกับชาวนาว่า "เจ้าเป็นหนี้ข้าจำนวนไม่น้อย
แต่หากเจ้ายกลูกสาวให้ข้า ข้าจะยกหนี้นี้ให้ทั้งหมด" ชาวนาไม่ตกลงขณะชาวบ้านได้
เพิ่มจำนวนที่จะรอมาชำระดอกเบี้ย ด้วยความเจ้าเล่ห์และคิดว่าคนอื่นโง่กว่าตัวเอง เศรษฐี
จึงพูดท้าขึ้นว่า "งั้นเรามาพนันกันดีไหม ต่อหน้าชาวบ้านทั้งหลาย ข้าจะหยิบกรวดสองก้อน
ขึ้นมาแล้วนำใส่ลงในถุงผ้า ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว แล้วให้ลูกสาวเจ้าเป็นคนหยิบ
จากถุงเอง ถ้าหากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ต่อหน้าพยานข้าจะยกหนี้ให้โดยไม่ต้องยกนางให้
ข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ เจ้าต้องยกนางให้ข้าและแน่นอนข้าก็จะยกหนี้ทั้งหมดให้เจ้า
ด้วย ชาวนาขอปรึกษาลูกสาวกับชาวบ้านเห็นเป็นข้อเสนอที่ดีแต่ติดที่เศรษฐีเป็นคนเจ้าเลห์
จึงย้ำกับเศรษฐีถึงคำสัญญา และตอบตกลงไปขณะเศรษฐีหยิบก้อนกรวดสองก้อนใส่ลงใน
ถุงผ้า พอดีกับหญิงสาวเหลือบไปเห็นว่าก้อนกรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ..? "แล้วนี่เธอจะ
จะทำอย่างไรดี" เธอคิด? ถ้าเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมต้องเสียหน้าและยกเลิกเกมนี้
เธอกับพ่อก็คงเป็นหนี้ไปอีกนาน แต่หากเธอไม่พูด ก็คงต้องจำใจอยู่กินกับเศรษฐีเจ้าเล่ห์แน่
นอน พลันเธอมองไปที่พื้นกรวดที่ลายตา และแล้วเธอก็เอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้น
มาก้อนหนึ่งขณะเปิดขึ้นดู เธอกับปล่อยมันล่วงลงสู่พื้นเหมือนไม่ได้ตั่งใจ ก้อนกรวดนั้นกลืน
หายไปในสีดำขาวของสวนกรวดในทันที "ขออภัย ขออภัยด้วย ข้าพลังเผลอปล่อยหินร่วงลง
ไป แต่คงไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่ก้อนกรวดสีขาวกับสีดำอย่างละก้อนลงในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อ
เราเปิดถุงนี้ออกดูว่าก้อนกรวดที่เหลือเป็นสีอะไร ในเสดงว่าก้อนกรวดที่ข้าหยิบขึ้นมานั้นเป็น
อีกสีอย่างแน่นอน" แน่นอนที่สุดเมื่อเปิดถุงออกดู ที่ก้นถุงนั้นต้องเป็นก้อนกรวดสีดำ เศรษฐี
จำใจต้องยอมจำนนกับหลักฐานด้วยอีกก้อนก็ต้องเป็นสีขาวไม่สามารถจะใช้เล่ห์ให้เป็นอื่น
ชาวนาจึงได้พ้นสภาพหนี้ที่เศรษฐีต้องการโกงแต่แรกด้วยปัญญาของลูกสาว....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การใช้เล่ห์คดโกงคนอื่นนั้น อาจมีวันเสียรู้กับเล่ห์ของตัวเองเช่นกัน.
                             ปัญญา เหนือสิ่งอื่นใด ให้เอาปัญญาไว้ แล้วปัญญจะช่วยเจ้า

15 กรกฎาคม 2012
376 เรื่อง ทำไมต้องเป็นผีเสื้อ (นิทานโดย นางสาวบุษบา เดชศรีสุธี)
ในสวนแห่งหนึ่ง ซึ่งอุดมไปด้วยดอกไม้และแมลงนานาชนิด เจ้าเขียวแก้ว หนอนผีเสื้อหนุ่ม
กำลังเฝ้ามองพวกเพื่อนๆของมันกัดกินใบไม้อยู่ทั้งวัน เจ้าเขียวแก้วให้สงสัย?ทำไมพวกมัน
ต้องกินกันมากมายเพียงเพื่อจะได้ปั่นใยให้เป็นดักแด้ แล้วรอฟักตัวเพื่อกลายเป็นผีเสื้อในต้น
ฤดูหนาว แม้จะเป็นผีเสื้อที่มีปีกแสนสวยงามสะดุดตาแต่ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง....
"ทำไมนะ? หนอนอย่างพวกเราต้องมาเสียเวลาเกือบทั้งชีวิต กับการพยายามให้เป็นผีเสื้อ
ที่อยู่ได้เพียงไม่กี่วันด้วย สู้เป็นหนอนสบายๆอย่างนี้ตลอดไปไม่ดีกว่าหรือ ไม่เข้าใจ?" เสียง
รำพึงของเจ้าเขียวแก้วลอยไปเข้าหู "เทาซาง" หอยทากเฒ่าที่อยู่มานานกว่าแมลงทุกตัวใน
สวน "จุ๊ จุ๊ เจ้าเขียวแก้ว ที่เจ้าบ่นเช่นนั้น เพราะเจ้าคงไม่รู้ถึงตำนานเก่าแก่ของบรรพบุรุษของ
เจ้าสินะ? มา..มา..ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง".........นานมาแล้ว ตอนที่บรรพบุรุษของเจ้ายังเพียง
หนอนตัวเขียวๆไม่ต้องฟักตัวเป็นดักแด้เพื่อให้เป็นผีเสื้อใดๆ ด้วยความที่เป็นหนอนตัวเขียว
ตัวอ้วนๆดูน่าเกลียด และกระดืบไปมาอย่างเชื่องช้าดูอุ้ยอ้าย ทำให้แมลงอื่นๆมองดูว่าหนอน
เป็นสัตว์ชั้ันต่ำ ที่ไม่น่าคบหาด้วย หนอนน้อยจึงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวและยังต้องคอย
หลบหนีจากฝูงแมลงอันธพาล ได้แก่ แมลงปอ ผึ้ง และเต่าทอง ที่สามารถบินไปไหนมาไหน
ได้คล่อง จึงชอบข่มเหงเจ้าหนอนอยู่เป็นประจำ...อย่างไรก็ตามในสวนแห่งนั้นยังมีที่ทุกข์กว่า
เจ้าหนอนน้อยนี้อีก คือดอกไม้แสนสวยที่แม้มีความงามและเสียงอันไพเราะเป็นที่ชื่นชอบของ
แมลงทั้งหลาย แต่แมลงเหล่านี้ไม่เคยรู้และสังเกตเลยได้ว่า แท้จริงแล้วดอกไม้นั้นร้องเพลง
เพราะมีความทุกข์ในใจ...ด้วยความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้กลีบใบอันสวยงามที่คงอยู่บน
ก้าน ดอกไม้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ดอกไม้ได้แต่เฝ้ามองแมลงทั้งหลายโบยบินไป
มา ดอกไม้จะรู้สึกได้ก็เพียงมองดูเกสรของมันที่ลอยไปตามลม และฝันลมๆแล้งๆว่า คงมีสัก
วันที่มันสามารถล่องลอยไปยังโลกที่แปลกใหม่บ้าง......
และแล้ว..เมื่อดวงอาทิตย์ผลัดเวรกับดวงจันทร์ ท้องฟ้าคว่าผ้าห่มดวงดาวมาห่มนอน
นั่นคือกลางคืนได้กลับมาเยือนอีกครั้ง แมลงทั้งหลายต่างได้พากันหลับไหลอย่างสบาย
แม้เจ้าหนอนน้อยก็เช่นกันมันค่อยๆคลานออกมาจากพุ่มไม้เพื่อจะได้อาศัยนอนใต้เงาของ
ดอกไม้บ้าง แต่ขณะที่มันกำลังจะพริ้มตาลงก็มีหยดน้ำตกลงบนหัว เมื่อมันเงยหน้าขึ้นดู
จึงได้รู้ว่านั่นเป็นน้ำตาของดอกไม้ "เธอร้องไห้ทำไมหรือ?" หนอนน้อยถาม ดอกไม้โน้มตัว
ลงมองและตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหนอนอ้วนตัวเขียว "เพราะฉันไม่อยากเป็นอย่างนี้..นะสิ"
ดอกไม้ตอบ "เธอเป็นดอกไม้ที่สวยงามออก แมลงทุกตัวต่างชื่นชอบเธอ ฉันยังฝันอยากเป็น
เหมือนเธอเลย" หนอนตอบกลับ "ถ้าเป็นได้ ฉันอยากแลกความสวยงามกับขาของเธอหรือ
ปีกของพวกแมลง...ฉันอยากรู้บ้างว่า ท้องฟ้าที่แสนไกลนั้นมีอะไรอยู่" ดอกไม้เอยพลางทอด
สายตาผ่านดวงดาวบนท้องฟ้าไปอย่างเศร้าๆ....ฝ่ายหนอนน้อยได้ฟังดังนั้นจึงพยายามหา
ทางปลอบโยน ด้วยความที่มันเคลื่อนตัวได้อย่างเชื่องช้า มันจึงเก็บเกี่ยวเอาประสพการณ์
ของสถานที่ต่างๆที่ได้ผ่านมามากมายอย่างละเอียดนำมาเล่าให้ดอกไม้ฟัง ดอกไม้ดีใจอย่าง
มากที่อย่างน้อยก็มีหนอนตัวหนึ่งที่เข้าใจมัน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของหนอนน้อยก็ให้รู้สึกเพลิด
เพลินเป็นอย่างมาก จนในคืนนั้นเสียงหัวเราะของทั้งสองก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้ากระทั่งดวง
ดางยังอดยิ้มให้ไม่ได้ ดอกไม้ไม่เคยหัวเราะ หนอนน้อยก็ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน....
ดอกไม้และหนอนน้อยจึงต่างได้เป็นเพื่อนตัวแรกในชีวิตของทั้งสอง....แต่เวลาไม่ได้มีเพียง
แค่ค่ำคืน เมื่อดวงอาทิตย์ได้กลับมาเข้าเวรเช้าของวันใหม่ แมลงทั้งหลายต่างตื่นขึ้นรวมทั้ง
แมลงปอ ผึ้งและเฒ่าทองและเมื่อได้พบหนอนน้อยกับดอกไม้นอนหลับอยู่เคียงกัน ต่างก็ไม่
ยอมรับในมิตรภาพของทั้งสอง เพราะถือว่าดอกไม้นั้นเป็นสิ่งสวยงามแต่เจ้าหนอนตัวอ้วน
เชื่องช้าน่ารังเกียจไม่สมควรมาเทียบชั้นคบหาด้วย แมลงอันธพาลทั้งหลายจึงได้ขับไล่เจ้า
หนอนน้อนให้ออกห่างจากดอกไม้ จนกระทั่งเจ้าหนอนต้องตกลงจากกิ่งไม้และกระแทกพื้นดิน
จนถึงแก่ความตาย...ดอกไม้ได้เห็นดังนั้นจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ดอกไม้ร้องไห้
ย่างหนักจนกลีบดอกของมันร่วงโรยลงที่ละใบ ทีละใบ ลงบนล่างที่ไร้ชีวิตของเจ้าหนอนน้อย
จนหมดดอก ดอกไม้จึงไม่หลงเหลือความงามอะไรอีก มันจึงเอนก้านลงซบบนร่างของหนอน
น้อยและตายตามไปด้วย.....และสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิด เมื่อความรักความฝันของทั้งสองมา
รวมกัน กลีบใบของดอกไม้จึงกลายมาเป็นปีกสวยงามบนร่างของหนอน แล้วทั้งคู่จึงกลาย
เป็นผีเสื้อที่สวยงามและสามารถโบยบินไปได้ตามใจปรารถนานับแต่นั้นมา.....
เจ้าหนอนหนุ่ม เขียวแก้ว เมื่อได้ฟังเรื่องราวจาก เทาซาน จนจบ ให้รู้สึกทั้งโศกเศร่าและ
ประทับใจ ระหว่างนั้นบรรดาเพื่อนๆที่ฟักตัวเป็นดักแด้นานแล้วค่อยๆแทงปีกสวยงามออก
จากรังและโบยบินไปลับตาในท้องฟ้า เทาซาน หอยทากเฒ่ายิ้มพลางถอนหายใจ "เฮอ...
แล้วพวกเขาก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วัน..ซินะ..หากแต่แม้เวลาจะแสนสั้น..แต่คงมากด้วย
ความสุขอย่างแน่นอน"...เจ้าเขียวแก้วหันมาสบตา เทาซานนิดหนึ่งก่อนคลานกระดิบไปอย่าง
มั่งคง "อ้าว..แล้วนี่เจ้าจะไปไหนล่ะ" เทาซานถาม "ผมจะไปกินใบไม้ให้อ้วน แล้วฟักตัวเป็น
ดักแด้คอยเวลาที่จะโบยบินเป็นผีเสื้อสวยงามที่มีอิสระนะสิครับ ถามได้"!!!
@ความสุขนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เวลา ว่าจะสั้นหรือยาว มันอยู่ที่ว่า คุณมีมันหรือไม่มีต่างหาก..?

8 กรกฎาคม 2012
O615 เรื่อง แบ่งปันวันแต่งงาน
ขออนุญาติที่จะขอเปลี่ยน การให้โอวาท มาเป็น การแบ่งปันประสการณ์ชีวิต
เพื่อความเหมาะสม
ความรักนั้นในพระคำ 1โครินทร์13 นั้นก็ยิ่งใหญ่ คงไม่หยิบยกข้อพระคำฯรายละเอียด
มานำเสนอ ด้วยทั้งสองเป็นผู้สอนอยู่แล้ว...แต่ด้วยพระคำฯ ในข้อนี้ถัาจะปฎิบัติให้ได้ในทุกข้อคง
ไม่ใช่เรื่องง่าย...จึงใคร่หยิบยกเพียงคำว่า อดทน และ ความรัก ในการตั่งต้นของครอบครัวใหม่
ที่ท่านจำเป็นอย่างมากที่ต้องมี "อดทน" นับแต่ วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป สิ่งใหม่ๆจะเป็นเรื่องจริงของคน
สองคน มันจะไม่ใช่เรื่องที่นความฝันของคนๆเดียวอีกต่อไป สิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอน ....
.ความอดทนกดดันรอบด้านจากสิ่งที่ตัวตนที่เราเคยเป็น (จำเป็นต้องทิ้งบางสิ่ง--เพื่อเริ่มต้นบางอย่าง)
.....ความหวังดีปรารถณาดีจากคนรอบข้างของทั้งสอง (มากมาย--รับฟัง-ไปปฎิบัติเฉพาะเห็นสมควร)
.....หน้าที่การงานโดยเฉพาะทั้งทั้งสองซึ่งต้องแบกรับทั้งการสอนและการให้คำปรึกษากับสมาชิกฯ
และนี่เรื่องจริงส่วนน้อย ที่สำคัญยิ่งที่ท่านทั้งสองต้องได้เจอ
และนั่น ท่านต้องใช้ ความอดทน ความรัก อย่างสิ้นเปลืองมากมาย แต่เมื่อท่านทั้งสองได้ตั่งใจอย่าง
แน่วแน่แล้วว่าท่านได้มาร่วมแล้วเป็นหนึ่งเดียว พลังความรัก(ยกกำลัสอง)ของท่าน
และความรักความเมตตาของ พระเป็นเจ้าที่ประทานแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
เชื่อแน่ว่าท่านทั้งสองสามารถผ่านพ้นสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน..
นั่นเป็นเรื่องของจิตวิญญา ความเชื่อ ความหวังและความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ท่านมีอยู่ มีอยู่และต้องใช้ .
อีกหนึ่งที่สำคัญรองลงมา ชีวิตของเนื้อหนัง ขอฝากไว้ให้คำเดียว... ฐิติ... มันเป็นมูลเหตุของความ
วุ่นวายทั้งปวง ถ้าเพียงเราไม่คบค้าสมาคมกับมันทุกสิ่งในชิวิตฝ่ายเนื้อหนัง ล้วนแก้ง่าย ลองคิดดู
แค่คนหนึ่งพูดอีกคนไม่ฟัง คนหนึ่งงอนคนหนึ่งไม่ง้อ  คนหนึ่ง...แค่ขอความเป็นส่วนตัวบ้างกับ
ครอบครัว...อีกคนติดภารละกิจมากมายที่รับไว้...และอีกหลายเรื่องราว เรื่องที่ควรแก้ไขง่ายๆกับ
การแค่ทำความเข้าใจ..พอมี ฐิติ กับเริ่มตั่งต้นความรู้สึกที่ไม่ดี..และรอสะสมเป็นความวุ่นวายที่ตามมา
ท้ายนี้จาก....ประสการณ์ของตัวเอง..อยากฝากข้อคิดไว้สักสามเรื่อง......
มีเจ้าบ่าวคนหนึ่งให้คำสัญญกับเจ้าสาววันแต่งงานว่า "ต่อแต่นี้ไป ผมขอสัญญาว่า
เมื่อคุณตื่นขึ้นในทุกเช้า ผมจะอยู่ที่นั่น" นั่นแสดงว่าเรื่องเก่าๆที่ไม่ควรจดจำของเราทั้งสองจะต้องไม่
พูดถึงมันอีกต่อไป..เป็นเรื่องที่ 1
มนุษย์มีของประทานที่วิเศษมากมายแต่เรามักไม่นำมาใช้ หรือเอามาใช้แล้วใช้ไม่เป็น
หนึ่งในนั้นคือหู หูวิเศษเรามีหูวิเศษอยู่สองข้าง จริงแล้วมันมีหน้าที่ต่างกัน ถ้าเพียงคุณใช้มันเป็น
หูข้างหนึ่งคุณแค่เปิดรับรู้เรื่องราวที่มีมากมาย แล้วให้จิตใจ ความคิด คัดสันแต่เรื่องดีดี เก็บไว้
เรื่องไม่ดีให้รีบเปิดหูอีกข้าง แล้วปล่อยสิ่งไม่ดีเหล่านั้นผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว..เป็นเรื่องที่ 2
เรื่องที่ 3...เมื่อทั้งสองตัดสินใจแล้วว่าได้รวมเป็นหนึ่งเดียว ต่อนี้ไป ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ร้ายหรืดี
ถูกหรืผิด ทั้งสองจะต้องแบกรับมันไว้ด้วยกัน และเมื่อคนหนึ่งอ่อนแอ อีกคนนั้นต้องเข็มแข็ง
พร้อมยืนอยู่เบื้องหน้าเสมอ ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังของท่านทั้งสอง มันจะผ่านอุปสรรค์ไปได้
อย่างไม่ยากเย็น...

นนามของสมาชิกคริสตจักรพระสัญญา ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตา
อวยพระพรมายัง ครอบครัวใหม่ของท่านทั้งสอง ให้บริบูรณ์เต็มล้นไปด้วยความรัก..อย่างมากมาย
และอัตรคัด ขัดสน ซึ่งความทุกข์และโรคภัยทั้งปวง

1 กรกฎาคม 2012
375 เรื่อง น้ำแข็งกับนาฬิกาทราย
นานมากแล้วจริงๆ เมื่อโลกยังเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเกลี่ยงๆเรียบๆ ไม่มีสรรพสิ่ง
อยู่เลยนอกจาก น้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายทรงกรวยกลมที่ใหญ่มาก และ
มันสามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว น้ำแข็งก้อนใหญเป็นเพื่อนรักกันมาก
กับนาฬิกาทราย เป็นเพื่อนเล่น ร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่เล็กจนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัย
หนุ่มสาว ความงดงามของน้ำแข็ง ทำให้นาฬิกาทรายทั้งชื่นชมและหลงไหล แต่
ทุกครั้งที่นาฬิกาทรายพยายามแสดงความสนิดสนมใกล้ชิด ความเย็นชาจากน้ำ
แข็งจะทำให้นาฬิกาทรายมีความรู้สึกผิดหวังทุกทีไป และแล้ววันหนึ่งทั้งสองก็เกิด
ทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงคั่นทั้งสองคิดว่าต้องแตกหัก น้ำแข็งยิ่งเย็นชามากยิ่งขึ้น
จนนาฬิกาทรายไม่สามารถเข้าใกล้ นาฬิกาทรายเสียใจอย่างมากจนต้องหนีไปอยู่
อีกซีกหนึ่งของโลก เวลาผ่านไปจนถึงวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนทำให้โลกเกิด
รอยแยกที่ใหญ่มากซึ่งน้ำแข็งก็รู้ดีว่าด้วยรอยแยกขนาดจะแยกโลกออกเป็นสอง
ส่วนนี้ น้ำแข็งคงไม่ได้เจอกับนาฬิกาทรายอีกไปตลอดกาล แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่น้ำแข็ง
เลือกที่จะอยู่เฉยๆยังคงความเย็นชาเช่นปรกติจนเย็นวันหนึ่งน้ำแข็งได้รู้ข่าวจาก
ดวงจันทร์ว่า อีกฝากหนึ่งของโลกที่กำลังจะแยกออกนั้นนาฬิกาทรายคงจะถึงวาระ
สุดท้ายแล้ว เพราะปล่อยทรายออกมาปกคลุมลอยแตก-แยกของโลกเพื่อจะยึดไว้
ไม่ให้แยกออกจากกัน โดยมีความหวังว่าอาจได้กลับมาพบกับน้ำแข็งอีก...เมื่อถึง
ตอนนี้น้ำแข็งทิ้งแล้วซึ่งทิฐิรีบออกตามหานาฬิกาทรายในทันที.....!!!............??
น้ำแข็งได้พบนาฬิกาทรายแล้ว แต่มันคงสายเกินไป เพราะทรายกำลังจะหมดจาก
ตัวนาฬิกา จะได้ยินก็เพียงคำพูดสุดท้ายที่ลอยมาตามลมของนาฬิกาทรายว่า..!!!
"ฉันจะรักเธอตลอดไป..ชั่วกาลนาน" ทันใดนั้นความเย็นชาที่มีอยู่ในตัวน้ำแข็งหมด
ลงทันที และนี่เป็นหนทางเดียวที่น้ำแข็งตัดสินใจเด็จขาดคือการละลายตัวเองทั้งหมด
ก่อนที่เม็ดทรายเม็ดสุดท้ายจะร่วงลงสู่พื้นดิน เพื่อโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์และกลาย
เป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยนอยู่คู่กันมาจนถึงทุกวันนี้....!?
@ ทิฐิ เปรียบได้กับ น้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ไม่ยอมละลาย นาฬิกาทรายเป็นได้ดังเวลา
     คนหนึ่งมาก ทิฐิ อีกฝ่าย เวลา ที่เดินหน้าให้มันผ่านไป..ผ่านไป..จนหมด.......?
     ทำไม?..เพื่ออะไร? ก็เพียงละลายความเย็นชาแห่งทิฐิลง แค่ปรับซึ่งความเข้าใจ
     ก็สามารถเก็บวันเวลาที่เหลือไว้ใช้ อย่างมีความสุข ไม่ดีกว่าหรือ?......ใช่ไหม?

10 มิถุนายน 2012
372 เรื่อง ปีโป้ เด็กจิ๋ว
ปีโป้เป็นเด็กชายตัวเล็กกระจิ๊ดริ๊ด ใครๆก็เรียก ปีโป้ว่า เด็กจิ๋ว ปีโป้อยู่กับยายสองคน
และในวันนี้เป็นวันเกิดของยาย ปีโป้มีความคิดที่จะสร้างแปลงดอกไม้หลากสีให้ยาย
เขาจึงขออนุญาติยายเพื่อไปเก็บเมล็ดดอกไม้ที่ทุ่งดอกไม้ใหญ่ที่อยู่แถบเชิงเขา....
ที่ทุ่งดอกไม้ใหญ่มีดอกไม้มากมายหลายชนิด สีสันสวยงาม ดูช่างลายตาไปหมดจน
ปีโป้เลือกเก็บเมล็ดดอกไม้ไปรำพึงไป "เมล็ดดอกสีแดง ช่างกระจิ๊ดริ๊ด เมล็ดดอกสิ
เหลือง ช่างกระจิ๊ดริ๊ด เมล็ดดอกสีชมภู ช่างกระจิ๊ดริ๊ด เมล็ดดอกสีเขียว ช่างกระจิ๊ดริ๊ด
เมล็ดดอกสีสม ช่างกระจิ๊ดริ๊ด เมล็ดดอกสีฟ้า ช่างกระจิ๊ดริ๊ด เมล็ดดอกสีม่วง ชาวกระ
จิ๊ดริ๊ด" ปีโป้เลือกเก็บเมล็ดดอกไม้ทั้งเจ็ดสีใส่มาในถุงผ้าได้เป็นจำนวนมาก ปีโป้จึงเดิน
ทางกลับบ้านด้วยความสบายใจ....ในระหว่างทางนั้นได้มีเจ้าหนอนอ้วนตัวดำคลาน
กระดิ๊บ กระดิ๊บมาขวางทางไว้ เจ้าหนอนอ้วนดำไม่ชอบดอกไม้ทุกชนิดมันจะกัดแทะ
ดอกไม้ ใบไม้จนเป็นรูเว้าๆแหวงๆและมันกำลังอยากทำลายเมล็ดดอกไม้ทั้งหมดที่ปีโป้
เก็บมา "หยุดก่อน เจ้าเด็กจิ๋ว เจ้าจงวางถุงดอกไม้ลงให้ข้าเดี๋ยวนี้" เจ้าหนอนอ้วนดำขู่
เสียงดัง ปีโป้กำถุงไว้แน่น "ไม่ได้หรอก นี่เป็นของขวัญวันเกิดของยาย" หนอนอ้วนดำ
ยิ้มอย่าเจ้าเล่ห์ "ถ้างั้น ข้าขอแลกถุงของเจ้ากับถุงเงินใบนี้ ยายของเจ้าต้องชอบถุงเงิน
มากกว่าอย่างแน่นอน" ปีโป้ปฎิเสธ "ไม่เอา ยายของปีโป้ชอบดอกไม้" เจ้าหนอนอ้วน
ดำโมโหมากจึงพองตัวจนกลมเหมือนลูกบอลแล้วกลิ้งเข้าหาปีโป้ทันที ปีโป้ตกใจ กระ
โดดหนี แล้ววิ่งกลับบ้านอย่างเร็ว แต่ในขณะที่วิ่งกลับบ้านนั้นถุงเมล็ดดอกไม้ได้เกี่ยว
ไปกับพุ่มหนามไปตลอดทางทำให้เมล็อดอกไม้ที่กระจิ๊ดริ๊ดหล่นไปตามข้างทาง เมล็ด
สีแดงร่วงตามด้วยสีเหลือง สีชมภู สีเขียว สีส้ม สีฟ้า สีม่วงตามลำดับจนหมดถุง เมล็ด
ดอกไม้ทั้งหมดจึงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นข้างทาง..ผ่ายปีโป้วิ่งกลับถึงบ้านด้วยความดีใจ
ที่วิ่งหนีเจ้าหนอนอ้วนดำได้สำเร็จ ปีโป้ยื่นถุงผ้าให้ยายแต่ปรากฎว่าเมื่อยายเปิดดู กับ
เป็นถุงผ้าที่ว่างเปล่าไม่เหลือเมล็ดดอกไม้แม้เพียงเมล็ดเดียว ยายโกรธปีโป้มาก ว่าปีโป้
โกหกยาย ไปเทียววิ่งเล่นจนเพลินแล้วหรอกยายว่าไปเก็บเมล็ดดอกไม้มาให้.......
..ปีโป้แสนเศร้าเดินร้องให้ไปตามทาง เขาก้นหน้ามองหาเมล็ดดอกไม้ที่หล่นอยู่ ช่างโชค
ร้ายเมล็อดอกไม้ที่กระจิ๊ดริ๊ดปีโป้จึงมองไม่เห็น น้ำตาของเด็กจิ๋วปีโป้หยดกระจิ๊ดริ๊ดจึง
หล่น แปะ แปะ ลงบนดินดังหยดฝน....หลายวันต่อมา เมล็ดดอกไม้ที่ได้รับความชุ่มชื้น
ก็พร้อมใจกันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดอกไม้สีแดงดอกกระจิ๊ดริ๊ดบานสะพรั่งเต็มต้น
ตามด้วยดอกไม้สีเหลือง สีชมพู สีเขียว สีส้ม สีฟ้าและสีม่วง....ชาวบ้านแถวนั้นต่างพา
กันประหลาดใจที่เห็นดอกไม้สวยๆอยู่ริมทางเดิน ยายและปีโป้ก็ไม่เชื่อในสายตาของ
ตัวเอง ที่มีแถวดอกไม้บานสะพรั่งช่างสวยงาม ยายถึงกับร้องอุทานว่า "โอโห! ดอกไม้
ช่างสวยจัง ดอกเล็กกระจิ๊ดริ๊ดน่ารัก อีกมีสีเหมือนสีประจำวันเลย" ปีโป้กอดยายแล้วพูด
ว่า "ปีโป้ดีใจจังที่คุณยายชอบของขวัญวันเกิดของปีโป้" ยายลูบหัวปีโป้แล้วพูดว่า
"ยายเชื่อแล้วจ้า ว่าปีโป้ไม่ได้หรอกยาย ของขวัญอื่นใดก็ไม่สำคัญเท่าหลานรักของยาย
เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไม่พูดปด " (เรื่องโดย นางสาวพีชะพะงา นิรัตติมานนท์)
@คุณเคยใช่ไหม?
 -ตั่งใจ เข้าใจ คิดทำ? เพื่อ...แต่พอได้ฟังคำ..ที่ไม่หวังดี?!?คุณกับเริ่มไม่เชื่อใจตัวเอง?
 -บางทีคุณตั่งใจทำทุกสิ่งเพื่อใครคนหนึ่งแต่วันนี้เขากับไม่เข้าใจ?.ให้คิดภูมิใจว่าสิ่งที่ได้
  ทำเพื่อเขานั้น คุณได้ทำแล้ว..วันนี้เขาอาจไม่เข้าใจ..ยังมีวันพรุ่งนี้ของวันต่อไป..สักวัน.?

3 มิถุนายน 2012
อีสป025 เรื่อง เครื่องวัดความฉลาด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งที่พระองค์ทรงคิดอยู่เสมอว่า
พระองค์นั้นน่าจะทรงพระปรีชาและมีพระสติปัญญาที่เฉียบแหลมเลอเลิศ
ประเสริฐกว่าผู้ใดๆในปฐพี แต่จะเอาอะไรมาวัดได้เล่า? จึงทรงปรึกษากับ
บรรดานักปราชญ์ในราชสำนักฯอยู่หลายๆวัน ในที่สุดจึงลงความเห็นว่า
พระองค์จะคิดค้นสร้างเครื่องวัดความฉลาดขึ้นมาและจะได้วัดระดับสติปัญญา
บรรดานักปราชญ์และข้าราชบริพาลของพระองค์ว่า..จะมีกันมากน้อนเพียงใด?
และแล้ว!?..ในวันหนึ่งเครื่องวัดความฉลาดของพระองค์ก็เสร็จเรียบร้อย เป็น
รูปหล่อนางงามทำด้วยโลหะทองคำที่งดงามเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนกัน
ทุกสัดส่วนสามชิ้นด้วยกัน ทรงนำไปตั้งไว้กลางท้องพระโรงและเปิดให้ทุกคนที่
คิดว่ามีความสามารถหาข้อแตกต่างว่า รูปหล่อรูปใดทรงคุณค่าที่สุด????
ด้วยความที่รูปหล่องดงามทรงคุณค่าและเหมือนกันชนิดไม่สามารถหาข้อมาติได้
เมื่อผ่านไปหลายวัน..ทุกคนที่มาเฝ้าดูต่างก็ยัง งงงัน มองไม่ออกว่ารูปหล่อรูปใด
จะต่างกันได้อย่างไร แม้บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต มหาเสนาอำมาตย์ ต่างก็ยัง
ตอบโจทย์กันไม่ได้?ดังนั้นแล้ว! พระราชาจึงทรงคิดสรุปเอาว่า พระองค์นั้นคงจะต้อง
ฉลาดกว่าใครแล้วเป็นแน่แท้.. ในท้องพระโรงวันนั้น..ขณะที่ทุกคนต่างหน้านิ่วคิ้ว
ขมวด นางทาสสาวของพระราชาที่นั่งรับใช้..นางหนึ่ง ก็แสดงตัวออกมากราบทูล
พระราชาขึ้นว่า "ข้าน้อยขอเข้าไปดูใกล้ๆด้วยได้หรือไม่?" พระราชาก็ตรัสทรง
อนุญาติ นางจึงเดินเข้าไปดูอย่างพินิจพิเคราะห์ ในที่สุดนางก็พบว่าในรูหูของรูปหล่อ
ทั้งสามชิ้น มีรูที่เล็กมากอยู่รูหนึ่ง นางจึงขออนุญาตินำน้ำมาหยอดลงในรูของรูปหล่อ
ทั้งสามชิ้น ผลปรากฎว่า รูปหล่อชิ้นที่หนึ่งน้ำได้ไหลออกทางปาก รูปหล่อชิ้นที่สอง
น้ำได้ไหลออกทางหู ส่วนรูปหล่อชิ้นที่สามนั้น น้ำกับไหลออกทางสะดือ เมื่อนางได้
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงกราบทูลพระราชาขึ้นว่า "ขอเดชะฝ่าบาท ข้อแตกต่างของ
รูปหล่อทั้งสามชิ้นนั้น รูปหล่อที่หนึ่งให้เตือนสติว่า บางคนเมื่อได้ยินอะไรมา ก็ชอบที่
จะพูดสวนกลับในทันทีโดนไม่คิด รูปหล่อที่สอง อีกบางพวกพอได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน
เข้าหูหนึ่งจะทะลุออกหูหนึ่งในทันที ส่วนรูปหล่อชิ้นที่สามนั้น คือคนพวกหนึ่งเมื่อได้ยิน
อะไรมาแล้วก็หยุดคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนค่อยพูดตอบไป ดังนั้นนอกจากข้อแตก
ต่างดังกล่าว รูปหล่อที่สามจึงน่าจะทรงคุณค่าที่สุดพระเจ้าข้า" เมื่อพระราชาได้คำตอบ
ดังนั้นจึงได้ทรงเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า คงไม่มีใครมีความสามารถที่จะฉลาดเฉียบแหลม
เป็นที่หนึ่งได้แน่....แม้ตัวพระองค์เอง!!

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความฉลาดเฉลียวนั้นมีในทุกตัวคนไม่แยกมีหรือจน อยู่ที่การ
ใฝ่หาเรียนรู้ ไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบก่อน!..อยู่ที่.ใครจะมีความพยายามมากกว่ากัน?

8 เมษายน 2012
L423  เรื่อง เจ้าความรัก (จินตนาการโดย- วีระชัย.....)
นานมาแล้วในป่าลึกที่ร่มรื่นที่เต็มไปด้วยความเงีบยสงัด มีสายน้ำใสของลำธารที่ไหลเอื่อยๆ
สายลมที่พัดเบาๆผ่านต้นไม้ใหญ่เล็กกับแสงแดดอ่อนๆผ่านใบหนาทึบของไม้ใหญ่และในยาม
ค่ำคืนที่จะเปลี่ยนมาเป็นแสงจันทร์ สงบ และ เงียบ จะมีเสียงประกอบของจักจั่นเรรัยก็เป็นเสียง
ที่ระรื่นหูชวนให้หลับและฝันดี เจ้าความรัก ได้เติบโตขึ้นอย่าง เรียบๆง่ายๆ ในลำธารที่ใส สะอาด
ท่ามกลางทุกสิ่งโอบล้อมที่เป็นมิตร เงียบ สงบ สงบ เงียบ บางที่มันเงียบจนน่าเบื่อหรือเปล่า?
วันหนึ่งเจ้าความรักเริ่มมีสงสัย และในหลายๆวันต่อมา เจ้าความรัก เริ่มสนใจที่พวก นก กา
พูดคุยกันถึงต้นน้ำของลำธารที่มาจากยอดเขาสูงชัน ที่ๆสายน้ำติดแผ่นฟ้า ที่ๆเต็มด้วยความ
อึกทึกคึกโครมของสายน้ำที่ฝาดใส่โขดหินจากที่สูงลงต่ำ เป็นฟองและไอที่ลอยฟ่อน ช่างน่าตื่น
ตาตื่นใจ และมีสีสันยิ่งนัก เจ้าความรักนึกภาพได้ถึงความท้าทายถ้ามันได้อยู่ยังที่ตรงนั้น มัน
เริ่มท้าทายตัวเอง ขวนขวาย กระเสือกกระสนมุ่งหน้าย้อนศร จากสายธารเล็กๆที่มันอาศัยของ
สายน้ำที่ผ่านมาทางหลังเขา สูงขึ้นไปและสูงขึ้นไป จนในที่สุด เจ้าความรักได้มาแล้วถึงยอดเขาที่
สูงชัน ที่ๆยืนอยู่บนแอ่งน้ำขนาดใหญ่มากๆ ด้านหน้าของยอดเขา สายน้ำได้ไหลลงสู่เบื้องล่าง
ตัดกับขอบฟ้าไกล มันช่างเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นยิ่งนัก "โอ! มันช่างแตกต่างกับที่เราจากมา
ยิ่งนัก" เจ้าความรักคำนึงและมองดูอย่างชื่นชม "อลังการ มีสีสัน คึกโครมทั้งวัน ไม่เงียบ สะใจ"
แต่ ที่นี่แดดมันช่างร้อนจัดยิ่งนักในตอนกลางวันและหนาวเย็นมากยิ่งในตอนกลางคืน เสียง
ดังจากสายน้ำที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบเงียบ อีกทั้งการอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่พร้อมไหลลงสู่ด้านล่าง
ตลอดเวลาทำให้มันต้องหาที่ยึดเกาะอยู่ตลอด พอนานวันมันเริ่มคิดได้ว่า นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ
เพราะเมื่อเริ่มเหนื่อย เริ่มเบื่อ และเข้าใจได้ว่า "แบบนี้เป็นแบบที่เราพยายามขวนขวายอยู่หรือ
เปล่า?? แบบที่มากไปด้วยสีสันแต่ไร้ซึ่งความปารถนาดี ออกจะโหดร้ายในบางทีด้วยซ้ำ "
เมื่อมันคิดได้ดังนั้น พอมีโอกาสมันจึงปล่อยตัวจากสิ่งที่มันยึดเกาะอยู่และกระแสน้ำก็กระชาก
เจ้าความรัก ลอยลงเบื้องล่างผ่านความสูงชันของหน้าผาสู่การกระทบอย่างรุนแรงของเบื้องล่าง
ในที่สุด เจ้าความรัก ก็พบตัวเองล่องลอยอยู่ในหนองน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยโขดหินมากมาย
ทำให้มันต้องคอยหลบ คอยหลีกเป็นพัลวันกว่าที่สายน้ำจะพัดพามันมาถึงแม่น้ำใหญ่ "แบบนี้
พอใช้ได้เลย" เจ้าความรักคิด "อุปสรรคมีบ้าง ไม่อึกทึกโครมครามนัก ดีกว่าวันเวลาที่ผ่านมาเยอะ 
พอใจ พอใจ พอแล้ว ไม่เหนื่อย" สายน้ำใหญ่ยังคงไหลผ่านไปเรื่อยๆ วันเวลาผ่านเลยไป เจ้าความรัก
คิดว่า วิบากอุปสรรคคงหมดลงแล้วเพราะมันคงไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายอีก มันพอใจแล้วสำหรับวันนี้
แต่!? สายน้ำไม่เคยหยุดไหล เมื่อถึงวันหนึ่งที่สายน้ำนั้นก็มาบรรจบถึงทะเล ซึ่งแน่นอน เจ้าความรัก
ถูกพาเข้าทะเลใหญ่ ทั้งความเค็มและมรสุมลูกใหญ่เล็ก แดดจ้าที่แผดเผา รอบตัวมีเพียงน้ำที่ตัด
กับท้องฟ้า ทำให้เจ้าความรักถึงกับท้อแท้และคิดว่า "กลางทะเลใหญ่ที่ไม่มีที่สุดปลายแห่งนี้ใช่ไหม?
ที่เราดิ้นรนมาตามหา" มันหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง ความคิด มันคงต้องปล่อยให้แสงแดดแผดเผ่ามันจน
ตายอย่างน่าอนาต คิดดังนั้นมันจึงปล่อยวางและให้คลื่นทะแลพัดมันลอยไป ลอยไป... เจ้าความรัก
ให้นึกถึงจุดเริ่มต้นที่มันจากมาถึง สายลม แสงแดดอ่อนๆ แสงดาวยามค่ำคืนไม่มีเสียงอึกทึกคึกโครม
และมันฝันถึงสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ สายน้ำที่ชุ่มช่ำเย็นสบาย ไม่เคย ไหลเชี่ยวเกี้ยวกราดกับมัน ไม่เคย
ไหลวนจนมันต้องหาที่ยึดเหนี่ยว ไม่เคยร้อนแรงจากแดดเผา เป็นไปได้ถ้ามันได้กลับไปมันคงไม่คิดที่จะ
จากมาอีกอย่างแน่นอน แต่นี่มันน่าจะช้าไปแล้ว มันคงกำลังจะตายเพราะมันรู้สึกได้ว่ากำลังลอยตัวขึ้น
จากไอทะแลที่ถูกแสงแดดที่แรงจ้าแผดเผา...?  เจ้าความรักมารู้ตัวอีกครั้งว่า มันลอยตัวอยู่ในก้อนเมฆ
รอบตัวของมันมีเพียงสีเทาๆ มันมองอะไรไม่ออกเหมือนมันหมดแล้วซึ่งความคิด ทันใดนั้นมันได้ยินเสียง
ฟ้าร้องและประกายไฟของแสงจากฟ้าฝ่า ทำให้มันคิดได้ว่า " มันยังตื่นอยู่ มันยังไม่ตาย " และนี่เป็น
โอกาสสุดท้ายที่มันต้องคว้าไว้ มันอ้อนวอนขอให้เมฆก้อนใหญ่ที่อุ้มตัวมันอยู่ช่วยพัดพาไปที่ภูเขาใหญ่
เมื่อเมฆกลั่นตัวเป็นสายฝน มันรีบเกาะสายฝนนั้นตกลงบนยอดเขาใหญ่... ในแอ่งน้ำใหญ่ด้านหนึ่งน้ำ
ไหลลงด้านผาชันอีกด้านน้ำล้นลงทางลาดด้านหลังเขา ครั้งนี้เจ้าความรักรีบพาตัวเกาะตามสายน้ำลัน
ที่ลัดเลาะผ่านไม้ใหญ่ผ่านทางน้ำไหลสู่ยังลำธารเล็กๆเบื้องล่าง.....อีกครั้งที่ เจ้าความรัก สำผัสได้ถึง
อ้อมกอดของความสุขอย่างแท้จริง..จบบริบูรณ์

@ความรักเมื่อเด็ก อบอุ่น แสนสุภาพ ไม่มีแม้พิษภัย
    พอแรกรุ่น ชอบท้าทาย ก้าวร้าว ความคิดตนต้องเป็นใหญ่ อันตรายก็รอบด้าน
    ครั้งก่อนมีครอบครัว กลับอดทน รอคอย มากความฝัน ทุกสิ่งช่างดูดี
    ผ่านมาหลังมีครอยครัวแล้ว ดูยุ่งเหยิง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม มองหาแต่ความพอดี
    ที่สุดของวัยชรา ความรักเพียงจะขอกลับไป ณ. จุดเริ่มต้น คงจะดีมาก มาก....
& ความรักไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เลือกเวลา ไม่มีคำว่าเร็วเกิน หรือ ช้าเกินไป เพราะความรักไม่เคย ตาย!  
   ความรักก็เป็นเช่นนี้แหละ? คุณเลือกได้ จะสมหวัง หรือ ล้มเหลว อย่าโทษใคร! เพราะคุณเลือกเอง.
@---มันจะมีประโยชน์อันใด? ถ้าทุกสิ่งที่คุณทำ แต่คุณไม่มี ความรัก!
       และ ความชื่นชมยินดีเล่า หายไปไหน?

   ----ความรักนั้น ก็อดทนนาน และกระทำคุณให้----(พระคริสตธรรมคัมภีร์ 1โครินธ์ บทที่13ข้อ4)

18 มีนาคม 2012
Q809 เรื่อง สำรวจของความแตกต่าง
ลองพิจารณาสำรวจตัวเราเองดูว่าเราเป็นแบบไหน?
1. เมื่อพบความว่าทำผิดพลาดจะรีบชิงพูดว่า:-  
แบบที่1                      "ขอโทษ...ฉันผิดเอง"
แบบที่2   จะรีบออกตัวว่า "มันไม่ใช่ความผิดของฉัน"
2. การรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ:-
แบบที่1   รีบทำอย่างตั่งใจให้สมบูรณ์แบบ
แบบที่2   จะทำแบบดูยุ่งไปทั้งวัน จนไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อน หลัง
3. การเผชิญหน้ากับปัญหาเฉพาะหน้า?
แบบที่1.   รีบลงมือแก้ไขในทันที ก่อนปัญหาจะลามเกิน
แบบที่2.   จะให้แค่ คำสัญญา แล้วผลัดไปวันๆ แถมคิดในใจ "อะไรเกิดก็ให้มันเกิด"
4. การสร้างงานใหม่?
แบบที่1.   พยายามทำชิ้นงานให้ปรากฎโดยรีบลงมือ
แบบที่2.   พล่ามไปวันๆถึงงานใหม่ ไม่เคยคิดลงมือทำแถมยัดเยียดให้คนอื่นรับผิดชอบ
5. พูดถึงผลงานของตัวเอง:-
แบบที่1.   จะพูดว่า " มีเวลาอีกนิดงานมันน่าจะดีกว่านี้ "
แบบที่2.              " งานมันออกมาดีกว่าอีกตั่งหลายคน "
6. การยอมรับกับคนที่มีความสามารถมากกว่า:-
แบบที่1.    พยายามเรียนรู้ข้อดีจากเขา
แบบที่2.    พยายามหาข้อผิดพลาดของเขาแล้วรีบบอกต่อ
7. ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม:-
แบบที่1.    ทำดีที่สุดกับงานที่ได้รับมอบหมายและ
              ให้การสนับสนุนกับทีมงานให้ประสพความสำเร็จร่วมกัน
แบบที่2.    หลีกเลี่ยงความร่วมมือและมักจะพูดว่า
               ". ฉันยังไม่ว่าง ยังยุ่งอยู่มากเลย ..ขอโทษ!?..ขอโทษจริงๆ.."
8. การพัฒนากับงานที่ทำอยู่?
แบบที่1.   มีความคิดเสมอว่าต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีและเร็วขึ้น
แบบที่2.   มีเพียงความคิดว่า มันดีอยู่แล้ว..คิดมาก..?..ปวดหัว
9. อยากจะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนๆ
แบบที่1.   จะนึกถึงคนใกล้ตัวที่สุดแล้วส่งต่อเมื่อมีโอกาศ
แบบที่2.   จะไปแบ่งให้ใครกันทำไมกัน? ตัวเองยังไม่อยากเก็บไว้เลย??
@ ดูเขาดูเรา แล้วแก้ไข ดีกว่า เพาะนิสัยที่ใช้ได้ "เฉพาะในโลกส่วนตัว"
     อยู่คนเดียวก็อยู่ได้ไม่ลำบาก แต่มีเพื่อนช่วยเกื้อกูลกันและกัน ดีกว่าเยอะไหม?
     !เลือกได้..เข้าใจได้..ไม่มีใครเขาว่าอะไร!?!?!?

368 เรื่อง นาฬิกาที่หายไป
ชายคนหนึ่ง หลังจากเขาเข้าไปทำความสะอาดคอกม้าเสร็จ ขณะกลับออกมากะว่าจะ
นั่งจิบกาแฟให้สบายใจ ก้อพบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว ด้วยนาฬิกา
เรือนนี้มีความหมายต่อเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบกลับเข้าไปที่คอกม้าและรื้อจนทั่ว แต่
ก็ไม่พบ.....เขาเดินกลับออกจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปที่ทุ่งหญ้าเห็นเด็กกลุุ่ม
ใหญ่กำลังเล่นกันอยู่ จึงคิดได้ว่าอาจเป็นเพราะตัวเองอายุมากแล้วหูตาคงจะฝ้าฟางจึงหา
นาฬิกาไม่เจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆมาแล้วบอกกับเด็กๆว่า " เด็กๆ ลุงทำนาฬิกาพกตก
หล่นในคอกม้า ถ้าใครหาเจอลุงจะให้เงินเหรียนหนึ่ง" เด็กๆพากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า
จนเวลาผ่านไปนานโข.. เด็กๆค่อยๆเดินกลับออกจากคอกม้าที่ละคนสองคนต่างก็มีสีหน้า
ผิดหวังจนคนสุดท้ายได้กลับออกมา ขณะที่เขากำลังถอดใจและคงต้องตัดใจที่จะเลิกหานั่น
เองก็มีเด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นกับเขาว่า " คุณลุงครับ ให้ผมลองเข้าไปหาดู! อีกครั้งได้ไหม
ครับ แต่ผมขอเข้าไปคนเดียว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะหานาฬิกาพกของคุณลุงเจอ" " ได้ๆ
ลองพยายามดูอีกครั้ง" เขาตอบเด็กไปอย่างไม่มั่นใจเพราะคิดในใจว่า..คนตั่งมากมายยัง
หาไม่เจอ แล้วลำพังคนเดียวจะหาเจอได้อย่างไรกัน? ...เด็กคนนั้นหายเข้าไปในคอกม้า
นานโขจนเขาคิดว่าจะเลิกรอ เด็กคนนั้นกลับเดินสวนออกมาในมือยังได้ถือนาฬิกาพกมาด้วย
เขาถามด้วยความแปลกใจว่า " เจ้าหามันเจอได้อย่างไร" เด็กชายตอบว่า "พอผมเข้าไป
ในคอกม้า ผมก็เพียงนั่งลงกับพื้นเฉยๆให้เงียบมากที่สุด และไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กตอก
ติ๊กตอก จากนั้นผมก็แค่หาที่มาของเสียง แล้วผมก็พบ นาฬิกาเรือนนี้"
@บางครั้งเราก็วุ่นวายกับ ปัญหา การงาน หรือ  อนาคต จนเกินพอดี.!?..
    จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้อง หยุดวุ่นวายและสงบจิตใจลงบ้าง..คิดตรึกตรองดูว่า
    ที่ทำอยู่ ถูกต้อง เหมาะสม ดีแล้วหรือยัง.?. แก้ก่อนผิด คงดีกว่าผิดแล้วแก้
    ตึงไปก็เครียด..ย่อนไปก็แย่..ผ่อนคลายบ้างแล้วลุยต่อ.!?.ชีวิตก็เป็นเช่นนี้.

อีสป 023 เรื่อง อีกาหน้าดำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีกาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆบ้านของ
คนเลี้ยงแกะ ทุกเช้ามันจะคอยกินเศษอาหารที่เหลือ หลังจากคนเลี้ยงแกะได้
ต้อนฝูงแกะไปที่เชิงเขา วันหนึ่งมันสังเกตุเห็นเนื้อชิ้นใหญ่บนโต๊ะ มันรีบคาบ
เนื้อชิ้นนั้นด้วยจงอยปากของมัน แล้วบินกลับไปเกาะที่ต้นไม้ใหญ่ และคิดว่า
ลาบปากที่มันเพิ่งขโมยมาชิ้นนี้จะเอาไปซ่อนที่ไหนดี ขณะนั้นที่ใต้ต้นไม้สุนัข
จิ้งจอกตัวหนึ่งมองเห็นกาก็อยากได้เนื้อชิ้นนั้น มันจึงเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยปาก
ขึ้นว่า "เจ้าช่างเป็นนกตัวใหญ่ ที่สง่างามและเข็งแรงดังนกอินทรีเชียวนะนี่ ถึง
สามารถคาบเนื้อชิ้นใหญ่ได้ขนาดนั้น" ทอดระยะให้กาได้ปลื้มแล้วพูดต่อ "ข้า
ไม่สงสัยเลย ถ้าเจ้าจะบินร่อนลงจับแกะขึ้นไปทั้งตัว ได้อย่างนกอินทรี" กาฟัง
แล้วให้เคลิบเคลิ้ม มันเห็นภาพได้เลยว่ามันคงทำได้จริงๆ สุนัขจิ้งจอกรีบพูดต่อ
"อีกอย่างเจ้าน่าจะเป็นผู้นำได้ไม่ยาก ถ้าเพียงเจ้ามีเสียงที่ไพเราะและดังพอ"
ได้ยินถึงตอนนี้ เจ้ากามีความกระหายใคร่อยากให้สุนัขจิ้งจอกได้ฟังว่า เสียง
ของมันดังและไพเราะแค่ไหน แต่ทันทีที่มันอ้าปาก ส่งเสียงร้อง กา กา กา กา
ชิ้นเนื้อก็หล่นจากปากของมันสู่พื้นดิน สุนัขจิ้งจอกไม่เพียงไม่ต้องการฟังเสียง
ร้องของกา ก่อนจากมันยังพูดสวนไปว่า "แต่..เจ้าต้องมีสมองมากขึ้นสักนิด"
แล้วมันก็รีบวิ่งไปคาบชิ้นเนื้อนั้นแล้ววิ่งจากไป สวนเจ้ากาแทนที่มันจะสำนึก
ว่าเสียท่าสุนักจิ้งจอก มันกับลำพึงกับตัวเองว่า "เออ..แบ่งเนื้อให้เจ้าไปก็ได้
เดี๋ยวข้าจะไปจับแกะให้เจ้าดู" เจ้าการีบบินไปที่สันเขาพอดีได้เห็นนกอินทรีบิน
ร่อนลงมาจากภูผาสูง จับแกะทั้งตัวไปกินได้อย่างสบายๆ "โธ่..อย่างนี้ข้าก็ทำ
ได้ ไม่เห็นจะยากเลย" คิดได้ดังนั้น เจ้ากาก็กางปีกบินขึ้นสูงพอ แล้วร่อนลง
ท่าอย่างของนกอินทรี แต่ทันทีที่มันสำผัสไปที่หลังของแกะ ยังไม่ทันจะขยับทำ
อะไรต่อ เล็บของมันกับติดอีนุงตุงนังอยู่กับขนแกะ มันพยายามขยับปีกเพื่อ
จะบินขึ้นให้หลุดจากพันธนาการนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล ขณะที่คนเลี้ยงแกะวิ่งเข้า
มาจับมันแล้วตัดปีกออกเพื่อไม่ให้มันบินมาเกาะหลังแกะได้อีกต่อไปและถึงตอนนี้
มันจึงเริ่มคิดถึงคำพูดสุดท้ายของสุนัขจิ้งจอกที่ว่า ถ้าเพียงมันมีสมองกว่านี้สักนิด
มันคงมีความสุขกับเศษอาหารที่มีเพียงพอในทุกวัน..มันคงไม่ต้องขโมยชิ้นเนื้อ
มาให้สุนักจิ้งขอกหรอกด้วยคำหวาน...และคงไม่นึกอยากทำเก่งเหมือนนกอินทรี.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..ไม่มีสมอง..หรือมีแล้วไม่ใช้..เขาเรียกว่า..โง่จริง..จริง?

4 มีนาคม 2012
367 เรื่อง เรื่องของ "จอร์จ.." ( Geoge 'Story" )
ครอบครัวหนึ่งมีคุณพ่อที่ได้ต้นเชอรี่พันธ์ดีมาเขานำมาปลูกที่บ้านและสั่งให้ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแลเพื่อว่าเมื่อมันโตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยแสนหวานจากต้นเชอรี่พันธ์นี้ ในทุกวันคุณพ่อจะเฝ้ารดน้ำใส่ปุ๋ยดูแลมันเป็นอย่างดี มันเป็นต้นไม้ต้นโปรดของคุณพ่อเลยทีเดียวอยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อเข้าไปทำธุระในเมือง.....ลูกชายชื่อจอร์จกำลังวิ่งเล่นโดยที่ในมือมีขวานเล็กๆที่คว้ามาจากโรงเก็บของด้วยความซนจอร์จก็ฟันโน้นฟันนี่แล้วก็ดันไปโดนต้นเชอรี่เข้าอย่างจังต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อค่อยๆเอนและล้มลงกับพื้นในที่สุดเหลืออยู่เพียงต่อที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว..!?เมื่อคุณพ่อกลับมาจากในเมืองเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพนั้น ก็ตกใจมาก ได้เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบ...แล้วคุณพ่อก็นึกได้ถึงลูกชายจอมซนจึงได้ตะโกนเรียกด้วยเสีงอันดัว่า"จอร์จ..มานี่..เดี๋ยวนี้"....จอร์จเดินคอตกออกมาหาคุณพ่อ "จอร์จลูกรู้ไหมว่า ทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้" คุณพ่อถามขึ้น จอร์จก้มหน้า แล้วตอบคุณพ่อไปว่า...."ผมจะไม่โกหกครับ ผมเหวี่ยงขวานไปโดนมันเอง" คุณพ่อจึงบอกให้จอร์จเข้าไปรอในห้อง.....เวลาผ่านไปพักใหญ่คุณพ่อได้เข้ามาในห้อง และถาม จอร์จ ว่า..."ทำไมลูกถึงใช้ขวานฟันไปที่ต้นเชอรี่ ลูกก็รู้อยู่ว่าอีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้ทานผลของมัน" จอร์จหน้าแดงด้วยความละอาย เขามองหน้าคุณพ่อ แล้วตอบไปว่า " ผมไม่ได้ตั่งใจจริงๆครับผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของผมเองครับ" พูดจบ จอร์จก้มหน้าลงด้วยความสำนึกผิด แล้วเขาก็ได้ยินคุณพ่อพูดขึ้นด้วยเสียงปรกติ "จอร์จ..จอร์จลูกมองหน้าพ่อ..ซิ..""ถึงพ่อจะเสียดายต้นเชอรี่มากเพียงใด แต่พ่อก็ดีใจมากยิ่งกว่าที่ลูกของพ่อซื่อสัตย์และกล้าหาญที่ยอมรับผิดในการกะทำของตัวเอง ถ้าลูกไม่มีสิ่งนี้อยู่ในตัว ต่อให้เรามีต้นเชอรี่อยู่เต็มสวนก็หามีประโยชน์อะไรไม่" จอร์จ จดจำเรื่องนี้และใช้ความซื่อสัตย์และกล้าหาญตลอดมา....จนกระทั่งท่านได้เป็นประธานาธิบดีนาม... " จอร์จ วอชิงตัน " 
@ วิธีการสอนลูก...แทนทีคุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีการรุนแรงหรือเกรี้ยวกราดกับสิ่งของที่เสียหาย...ท่านกับให้เวลาทบทวนถึงความผิดแล้วพูดกับลูกด้วยความอ่อนโยนถึงเหตุและผลด้วยคำอธิบายที่ทำให้ได้จดจำและใช้ไปตลอดชีวิต.........
ในชีวิตมีสักครั้งไหม??  ที่เราเกรี้ยวกราดกับสิ่งที่ ไม่มีวันที่จะได้คืน...แทนการใส่ใจกับ
สิ่งที่มีอยู่...คิดให้ดี...นึกให้ออก...สิ่งที่อาจลืมไป...ยังไม่สายที่จะนำมันกลับมาเติมให้เต็ม
ไม่มีวันสายเกินถ้าเพียงต้องการจะเริ่มต้นใหม่??????
26 กุมภาพันธ์ 2012
365 เรื่อง เรื่องของหมา (The Dog story)
เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งให้รู้สึกประหลาดใจที่เห็นสุนัขตัวหนึ่งเข้ามาในร้านโดยที่ในปากของมันคาบธนบัติใบละ 10ดอลลาร์และกระดาษที่มีข้อความเขียนไว้ว่า"ขอซื้อไส้กรอก1กิโลกับขาแกะ1ขา"เขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากในความแสนรู้ของมันเมื่อมันมายืนอยู่ข้างหน้าเขาดังนั้นหลังจากเขาเก็บเงินขึ้นแล้วจัดของพร้อมเงินทอนใส่ถุงแขวนไว้ที่ปากของมันวินาทีนั้นเขาตัดสินใจปิดร้านแล้วสะกดรอยตามมันไปสุนัขเดินไปตามถนนจนถึงทางข้ามทางม้าลายมันรออยู่กระทั่งสัญญาณไฟข้ามถนนสว่างขึ้นมันจึงข้ามมาฝั่งตรงข้ามแล้วเดินไปยังป้ายรถเมล์มันยืนอยูู่อย่างนั้นจ้องมองหมายเลขของรถเมล์คันแล้วคันเล่าจนกระทั่งเห็นรถเมล์สายที่มันรออยู่ มันจึงได้ขึ้นรถเมล์สายนั้นไปคนขายเนื้ออ้าปากค้าง "หมาอะไรมันจะฉลาดขณะนี้" เขารำพึงและรีบตามขึ้นรถเมล์คันนั้นไปหลังรถเมล์วิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมืองเจ้าหมาที่ยืนมองอยู่ที่หน้ารถรีบยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดไปที่กริ่งเมื่อรถจอดมันก็ลงเดินต่อไปจนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน มันวางถุงที่คาบไว้ลงแล้วนั่งลงอยู่ครู่ใหญ่ แล้วลุกขึ้นถอยหลังมา3เมตรจากนั้นมันก็วิ่งเข้าชนประตูอย่างเต็มแรงมันพยายามอยู่อย่างนั้นถึง3ครั้งแต่ประตูก็ไม่เปิดออกมันเลยเดินอ้อมไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ด้านข้างแล้วเอาหัวโขกไปที่กระจกหน้าต่างหลายครั้งแล้ววิ่งกลับมารอที่หน้าประตูสักครู่ใหญ่ประตูบ้านก็เปิดออกโดยผู้ชายหุ่นล่ำบึกพร้อมเสียงก่นด่าและเตะไปที่สุนักนั้นทันทีถึงตอนนี้คนขายเนื้อที่ยืนมองดูอยู่ทนไม่ไหวเขารีบเดินเข้าไปขวางพร้อมกับถามว่า " คุณเตะมันทำไมกันมันเป็นหมาอัจฉริยะที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา ถ้าเอามันไปออกทีวี มันต้องดังแน่นอน "เจ้าของสุนัขหันมามองพร้อมสวนคำพูดกับมาในทันที " คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ เชอะ!!!!คุณคงไม่รู้ว่า นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วในอาทิตย์นี้ ที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วย ".นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:เราทำงานได้ดีเลิศในความคิดหรือเกินความคาดหมายในสายตาของผู้อื่นแต่!!อาจยังทำงานได้ต่ำ
กว่า เป้าหมายในสายตาและความต้องการของนายเราเสมอ????

19 กุมภาพันธ์ 2012
361 เรื่อง ความเมตตาของพระราชา (The Mercy's King)
หลังจากแผ่นดินโลกได้ผ่านความเจริญทางด้านเทคโนโลยีมาอย่างสุดขีดความเห็นแก่ตัวของมวลมนุษย์ชาติได้ทำให้แผ่นดินโลกกลับไปสู่ณ.จุดเริมต้น!!???การเข่นฆ่า,การขาดแคลนอาหาร,ธรรมชาติแปรปรวนทำให้มนุษย์ที่คงเหลืออาศัยอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายจากผู้ปกครองที่นำความทุกข์ยากมาให้ตลอดเวลาและยังมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าณ.ดินแดนไกลโผนออกไปมีเมืองที่สวยงามเต็มไปด้วยแสงตะวันที่สาดส่องทั้งตอนกลางวันและกลางคืนผู้คนเต็มไปด้วยความสุขมากมายเพราะปกครองโดยพระราชาผู้ประเสริฐเลิศพระองค์หนึ่งแต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งเพราะผู้คนผู้ทุกข์ยากเหล่านั้นกลับไม่มีใครสนใจที่จะค้นหาดินแดนที่สวยงามแห่งนี้....!?...อยู่มาวันหนึ่งได้ปรากฎชายคนหนึ่งที่ทางจากทางไกลมาสู่เมืองที่ไร้ความสุขแห่งนี้และเริ่มบอกเล่าถึงเมืองอันแสนสุขที่ปกครองด้วยพระราชาผู้ประเสริฐด้วยบทเพลงที่ไพเราะมีกลุ่มคนที่มาฟังมากมายแต่เมื่อเขาได้หยุดเสียงเพลงลงและพยายามจะอธิบายถึงเส้นทางที่จะไปถึงเมืองแห่งความสุขนั้นฝูงชนกลับแยกย้ายกันกลับมีเพียงบางคนเท่านั้นที่ยังอยู่รับฟังแต่ชายคนนี้ก็ยังทำแบบนี้ในทุกวัน.....หลายวันต่อมาชายคนที่สองจากแดนไกลก็ได้เดินทางมาสมทบชายคนที่สองมาพร้อมกับบทความที่เขียนถึงเมตตาขององค์พระราชาและอธิบายถึงหนทางที่จะไปถึงเมืองแห่งความสุขนั้นเหมือนเช่นเดิมผู้คนต่างรับบทความนั้นแล้วแยกย้ายกันกลับแต่ยังมีคนมากกว่าเดิมที่สนใจอ่านตั่งคำถามกับชายทั้งสองทำให้เกิดกลุ่มคนที่ต้องการไปยังเมืองแห่งความสุขนั้น....และในอีกหลายวันต่อมากลุ่มที่ช่วยกันทำงานประกาศอยู่นั้นได้ปรากฎสาวงามผู้มากด้วยรอยยิ้มที่เดินทางมาสมทบจากดินแดนแห่งความสุขเมื่อทีมผู้ประกาศด้วยเสียงเพลงทีมผู้ประกาศด้วยบทความกำลังทำงานอยู่หล่อนก็จะเดินไปตามบ้านเข้าพูดคุยกับคนในบ้านผู้เฒ่าผู่แก่แม้เด็กเล็กๆด้วยคำพูดง่ายๆถึงความศรัทธาความรักและความเชื่อที่ไม่ได้มีความยากลำบากอย่างไรที่จะเดินทางไปยังเมื่องแห่งความสุขนั้นเนื่องเพราะมันมีเพียงทางสายเดียวเท่านั้นด้วยการอธิบายอย่างง่ายๆช้าๆด้วยความรักและความอดทนดังนั้นผู้คนต่างเข้าใจเชื่อมั่นและเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการเเดินทาง......และแล้วก็ถึงเวลา เมื่อพระราชาผู้ประเสริฐได้มีคำสั่งมายังฑูตทั้งสามที่พระองค์ทรงส่งมาเดินทางกลับพร้อมนำผู้คนที่ศรัทธาเข้าเฝ้าด้วย......ชายผู้ประกาศด้วยเสียงเพลงได้นำกลุ่มคนเข้าเฝ้า.............ชายผู้ประกาศด้วยบทความได้นำฝูงชนส่วนหนึ่งเข้าเฝ้า.....ส่วยหญิงสาวผู้มากด้วยรอยยิ้มหล่อนได้นำฝูงชนผู้ติดตามมามากมาย.......พระราชาผู้ประเสริฐทรงแย้มสรวลพร้อมรับสั่งกับชายสองคนว่า"ด้วยความเชื่อและมากด้วยความหวังเจ้าทั้งสองได้ทำหน้าที่ได้อย่างดีมาก"และทรงรับสั่งกับสาวงามผู้มากด้วยรอยยิ้มว่า "ส่วนเจ้าผู้ใช้ความอดทนด้วยความรักนั้นกับงานที่ได้รับมอบหมาย เจ้าทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ดีที่สุด"
@ความอดทนไม่เพียงต้องใช้เวลา ยังต้องใช้ ความรัก อย่างสิ้นเปลืองด้วย
12 กุมภาพันธ์ 2012
362 เรื่อง ความฝันของ โรส
วันแรกของการเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยหลังปิดภาคเรียนอาจารย์ได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทุกคนทำความคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่ที่เราไม่รู้จักมาก่อนขณะผมยืนมองไปรอบๆมีมือเอื้อมมาจับที่ไหล่ผมหันไปมองก็พบเห็นหญิงชราร่างเล็กผิงหนังดูเหี่ยวย่นไปหมดกำลังส่งยิ้มที่เป็นประกายมาให้ผมยังจำได้ติดตาว่ารอยยิ้มนั้นชั่งอบอุ่นและทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่งพร้อมเสียงที่ตามมา "สวัสดีรูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดปี มาให้ฉันกอดสักทีสิ" ผมหัวเราะกับท่าทางร่าเริงของเธอ แล้วตอบไปว่า "แน่นนอน ได้เลยครับ"แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรงผมถามเธอว่า"ทำไมคุณถึงมาเรียนในมหาวิทยาลัยตอนอายุที่เหลือน้อยและวัยยังไร้เดียงสาขนาดนี้ละ"เธอตอบคำถามที่ล้อเล่นจากผมด้วยคำตอบที่ปนเสียงหัวเราะว่า"ก็ตั่งใจจะหาสามีรวยๆสักคนที่ฉันจะแต่งงานด้วยแล้วมีลูกสักสองสามคน"ผมหัวเราะลั่นแล้วถามต่อ"ไม่เอาครับ..ไม่เอา....ผมถามจริงๆ"เธอตอบว่า"ฉันฝันมานานว่าฉันต้องได้ปริญญาและตอนนี้ฉันกำลังจะได้มัน"หลังเลิกเรียนวันนั้นพวกเราเดินไปสโมสรนักศึกษาด้วยกันโรสนั่งลงและสั่งซอกโกเล็กปั่นเรากลายเป็นเพื่อนดูเหมือนสนิดสนมกันมานานตลอดปีนั้นโรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของพวกเราไปโดยปริยายและเธอยังเป็นเพื่อนที่ดียอดเยี่ยมกับพวกเราในห้องทุกคนเธอมักจะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เมื่อมีการพูดคุยและเธอรักที่จะแต่งตัวดีๆเข้ากันกับความสนใจของนักศึกษาอื่นๆที่มีให้กับเธอ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา ทีมฟุตบอลของพวกเราได้เชิญ โรส ให้มาพูดในงานเลี้ยง ผมไม่เคยลืมเลยว่าเธอได้สอนอะไรให้กับพวกเราเมื่อพิธีกรแนะนำและเธอก็เดินมาที่แท่นและในขณะที่เธอเตรียมตัวจะพูดอยู่นั้นเธอได้ทำาร์ดบันทึกตกลงพื้นเธอทั้งประหม่าและอายแต่แล้วเธอก็โน้มตัวเข้าหาไมโคโพนแล้วพูดขึ้นว่า"ขอโทษนะที่ฉันซุ่มซ่ามฉันเลิกกินเบียร์มาก็ตั่งนานแล้วสงสัยกระป๋องสุดท้ายมันคงแรงจริงๆตอนนี้เลยยังมืนอยู่ฉันคงจะเอาบทที่เตรียมไว้มาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วถ้างั้นฉันคงแค่จะบอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"พวกเราหัวเราะกันดังลั่นก่อนที่เธอจะพูดต่อ"พวกเราทุกคนคงไม่หยุดที่่จะเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่ถ้าเราจะแก่ ก็เพราะเราหยุดเล่นต่างหากฉันมีเคล็ดลับที่คงความเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ และมีความสุข ประสพความสำเร็จอยู่ 4 ประการ
1.พวกคูณจะต้องหัวเราะ โดยหาเรื่องสนุกขำขันและมองชีวิตในมุมบวกของทุกวัน
2.พวกคุณต้องมีความฝัน เมื่อไรที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไป คุณก็เปรียบคนที่ไม่มีวิญญาณ  เสมือนหนึ่งคนที่ตายแล้ว มีคนมากมายที่เดินไปมาไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าตายไปแล้วเหมือนหุ่นยนต์
3.การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าตอนนี้พวกคุณอายุสิบเก้าแล้วคุณนอนอยู่บนเตียงเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลย พอหนึ่งปีผ่านไปคุณก็จะอายุยี่สิบฉันก็คงเหมือนกันปีนี้ฉันอายุแปดสิบเจ็ดและนอนเฉยๆปีหน้าฉันก็เป็นเพียงคนแก่ที่ไร้ค่าอายุแปดสิบแปดทุกคนก็แก่ขึ้นทั้งนั้นไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรเลยแต่ประเด็นอยู่ที่ว่าการเติบโตขึ้นนั้นมีการแสวงหาโอกาศในการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า???
4.อย่าทิ้งอะไรให้เสียใจภายหลังเมื่อสูงวัยขึ้นคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเสียใจและทำเป็นลืมกับสิ่งที่ได้ทำไปแล้วแต่มักจะเสียใจฝังใจกับ
สิ่งที่ไม่มีโอกาศที่จะทำ คนที่กลัวตายนั้น มีแต่คนที่ ยังมีสิ่งที่เสียใจค้างคาใจอยู่
เธอจบการพูดของเธอด้วยเพลง"TheRose"ความหมายของชีวิตที่เบิกบานความฝันสิ่งสวยงามและความรักเธอแนะนำให้นำวามหมายเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเราและเมื่อถึงสิ้นการศึกษานั้นโรสได้รับปริญญาที่เธอได้ฝันเมื่อนานมาแล้วหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นโรสจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่เธอหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกนักศึกษาหลายพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอเพื่อเสดงความเคารพต่อหญิงชราผู้วิเศษผู้ได้สอนให้รู้ด้วยการทำให้เห็นด้วยตัวของเธอเองว่า.............ไม่มีคำว่าสายเกินไป.....ที่จะเป็นทุกสิ่ง...ที่คุณสามารถเป็นได้......!?
@"การที่คนเราแก่ขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับแต่เราจะมีชีวิตอยู่ได้
เพราะ สิ่งที่เราให้ไป"

5 กุมภาพันธ์ 2012
363 เรื่อง เจ้าหญิงก้อนหิน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ยังมีเจ้าหญิงรูปงามมาก แต่นางกลับผิดหวังจากความรักมากเช่นกัน อยู่ๆมานางก็เลยนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวจนร่างกายค่อยๆกลายเป็นหินแต่ถ้าหากมีชายใดสามารถที่จะทนกอดหินนั้นได้ด้วยความรักอย่างจริงใจก้อนหินนั้นก็จะกลับมาเป็นเจ้าหญิงได้ดั่งเดิมเจ้าชายองค์หนึ่งเดินทางผ่านมาทรงหยุดชื่นชมเจ้าหญิงก้อนหินด้วยความหลงไหลในความงาม"ต้องกอดนานเท่าไร"เจ้าชายถามคนเฝ้า"ไม่รู้..เพราะยังไม่มีใครทนกอดจนสำเร็จได้สักคน"คนเฝ้าตอบ"เราจะกอดให้เจ้าหญิงก้อนหินให้ได้กลับมาทีชีวิตใหม่เอง"เจ้าชายตอบอย่างมั่นใจแล้วค่อยๆนั่งลงกอดก้อนหินนั้นอย่างทนุถนอมจากวันเป็นเดือนละแล้วหนึ่งปีก็ผ่านไปวันหนึ่งคนเฝ้าเจ้าหญิงก้อนหินก็เอยปากถามขึ้นว่า"นี่ท่านจะยังทนกอดก้อนหินนี้อยู่อีกหรือท่านคิดว่าจะทำได้อย่างไร?" เจ้าชายตอบ "ก็เพราะข้าอยู่กับปัจจุบัน นะสิ" คนเฝ้าเจ้าหญิงก้อนหินยัง งงเจ้าชายจึงพูดต่อว่า "ถ้าให้ท่านกอดก้อนหินนี้หนึ่งวัน ท่านทำได้หรือไม่" "สบายมาก" คนเฝ้าตอบอย่างมั่นใจ "แล้วถ้าเป็นสองวันละ" "คงเริ่มเบื่อนิดๆ" "แล้วถ้าสามวัน สี่วัน หรือสิบวันละ""ไม่เอาข้าคงไม่มีความอดทนขนาดนั้นหรอก"คนเฝ้าเจ้าหญิงก้อนหินพูด"นั่นเพราะว่าท่านไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน....ท่านคิดไปก่อนล่วงหน้าว่าไม่ไหว" "ไม่เข้าใจ" คนเฝ้าพูด. "ก็ในเมื่อท่านบอกว่าท่านกอดก้อนหินนี้หนึ่งวันได้สบายมาก แล้วทำไมวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไป มันจะต่างกันตรงไหนมันก็แค่หนึ่งวันที่ผ่านไป"เจ้าชายตอบและกอดก้อนหินนั้นราวกับมันมีชีวิตก่อนพูดต่อว่า"ในสายตาของท่านคงคิดว่าข้าได้กอดก้อนหินนี้มาเป็นปีแต่ในความรู้สึกของข้านั้นข้าพึ่งกอดเจ้าหญิงผ่านหนึ่งวันมาแค่365วันเท่านั้น"คนเฝ้าถามต่อข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีแต่เอาเถอะข้าแค่ต้องการรู้ว่าท่านกอดก้อนหินนี้เพียงเพื่อเอาชนะหรือเพราะท่านคิดว่าท่านได้รักเจ้าหญิงย่างจริงๆ ""ข้ารักจริงเป็นคำตอบที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"เจ้าชายตอบถ้าอย่างนั้นท่านก็คงได้สมปรารถนา.........และข้าว่าท่านมากอดข้าจะดีกว่าเพราะนั่นมัยเป็นเพียงก้อนหินส่วนข้านั้นเป็นเจ้าหญิงตัวจริงซึ่งข้าก็ได้รักท่านเช่นกัน"ว่าแล้วเจ้าหญิงผู้เลอโฉมก็ถอดชุดมอมแมมออก.
@ความตั่งใจอยู่ที่คิดต้องทนทำให้มันเสร็จๆไป หรือทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ให้ดีได้ตลอดไป
 +++++  ทำอะไรหน้าเบื่อผ่านมาหนึ่งปี หรือทำอะไรดีผ่านไปหนึ่งวัน มาแค่ 365วัน+++++++++

29 มกราคม 2012
360. เรื่อง ในที่ลี้ลับ.?ของพระเจ้า (God in Hiding)
"ในยุคแห่งการเริ่มต้นของกาลเวลามีตำนานบอกเล่าถึงการสร้างมวลสรรพสิ่งของพระเจ้าที่ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด, พื้นดิน น้ำ กับฟ้าออกจากกัน, ให้แผ่นดินเกิดพืชและผล, ให้ดวงสว่างบนท้องฟ้าครองวัน-คืน และเป็นหมายกำหนดของฤดู วัน ปี,พระองค์ทรงให้ในน้ำบนบกและท้องฟ้าอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิตแล้วพระองค์จึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นแต่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างทั้งชายและหญิงในเวลาต่อมาก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งที่ห้ามแตะต้องผลไม้แห่งชีวิตของการรู้สึกสำนึกของความดีและความชั่วเพราะเหตุนี้มนุษย์จึงต้องออกจากสวนเอเดนมาอาศัยแผ่นดินโลกและเริ่มต้นการทำไร่ทำนาและล่าสัตว์ตั่งแต่นั้นมา."
เมื่อคุณครูได้เล่ามาถึงตอนนี้เหล่าบรรดาเด็กๆที่ห้อมล้อมคุณครูพากันถามกันเซงแซ่ว่า"แล้วตอนนี้พระเจ้าทรงประทับอยู่ที่ไหนค้า/ครับ"คุณครูสาวเงยหน้าขึ้นแล้วถามกลับไปว่า"เอ..หนูๆลองช่วยกันคิดดู?ครูว่าสถานที่นั้นต้องไม่ใช่ที่ที่จะแสวงหาพระองค์ได้ง่ายๆแน่เพราะคนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมีความเข้าใจในพระองค์อย่างถ่องแท้ก่อน""ถ้าอย่างนั้นพระองค์น่าจะประทับอยู่ส่วนลึกที่สุดของใต้พิภพแน่เลย"เด็กชายคนแรกชิงตอบคุณครูคิดอยู่สักครู่ก่อนตอบว่า"ครูว่าไม่น่าจะใช่เพราะมนุษย์เรียนรู้วิธีการที่จะค้นหาสินทรัพย์ ต่อให้ลึกขนาดไหน คงไม่ใช่เรื่องยาก" "หนูว่าพระองค์ต้องอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนดวงจันทร์"เด็กผู้หญิงเสนอแนะขึ้น คุณครูนิ่งไปสักพักในที่สุดก็ตอบไปว่า"คงไม่ใช่เหมือนกันแม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าใต้พิภพอยู่บ้างแต่มนุษย์คงใช้เวลาอีกไม่นานคงหาทางไปสำรวจดวงจันทร์ได้ไม่ยาก"ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่"ผมรู้แล้วคนที่จะหาพระองค์พบต้องมีจิตใจดีงามก่อนต้องเข้าใจและรู้จักพระองค์อย่างถ่องแท้มีแค่จิตใจดีและความเข้าใจงั้นพระองค์ต้องประทับซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจแน่เลย"เด็กชายท่าทีฉลาดตอบอย่างมั่นใจ"ใช่เลยพระองค์จะทรงประทับอยู่ที่หัวใจของทุกคนนั่นเองเพราะทุกคนไม่เคยคิดที่จะค้นหาสิ่งที่แฝงอยู่ในหัวใจของตัวเองอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะแสวงหาพระองค์พบ" คุณครูสาวอุทานด้วยความยินดีในคำตอบ
@พระเจ้าทรงซ่อนพระองค์เองอย่างลึกล้ำภายในจิตใจของมนุษย์รอกระทั่งมนุษย์มีจิตวิญญานที่เจริญเติบโตและมีความเข้าใจและเข้าสู่แก่นของความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงณ.ขณะนั้นมนุษย์จะได้พบพระองค์และประสานความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเพื่อความเป็น..นิรันคร์..อาเมน.

22 มกราคม 2012
359 เรื่อง ชีวิตคือ..อะไร..?(What is Life..?)
ตอนเที่ยงของวันที่อากาศสดใสมากวันหนึ่งความเงีบยสงัดปกครุมผืนป่าไว้ด้วยความเงีบยสงบมวลหมู่นกกาต่างซุกหัวไว้ใต้ปีก ทุกชีวิตต่างอยู่ในการพักผ่อน ทันในนกแก้วตัวหนึ่งก็พงกหัวขึ้นและเอ่ยถามขึ้นว่า "ชีวิตคือ..อะไรกันแน่" เงีบยไปจนพักใหญ่กุหลาบดอกหนึ่งคลี่กลีบแย้มบานที่ชั่งอ่อนหวานของเธอออก...ทีละกลีบอย่งเขินอายเพื่ออาบแสงตะวัน"ชีวิต.!.น่าจะเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไงละ"กุหลาบตอบผีเสื้อที่กำลังบินว่อนจากดอกไม้หนึ่งไปยังดอกหนึ่งเพื่อดูดน้ำหวานก่อนจะแสดงความเห็นว่า"ชีวิตก็คือความยินดีปรีดากับแสงตะวันที่ส่องสว่างอยู่นี่ไง"บนพื้นดินมดน้อยตัวหนึ่งกำลังหามเศษฟางที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันประมาณสิบเท่ามันตอบคำถามนั้นว่า"ชีวิตไม่ได้มีสาระอะไรเลยนอกจากความลำบากตรากตรำกับหยาดเหงื่อแรงกาย"การโต้แย้งความหมายของชีวิตได้ถูกขัดจังหวะเมื่อสายฝนที่ได้โปรยละอองน้ำลงมาแล้วกล่าวขึ้นว่า"ชีวิตประกอบด้วยหยาดน้ำตา..ความเศ้รา..แล้วไม่มีอะไรเลยนอกจาก หยาดน้ำตาเท่านั้น"เหนือขึ้นไปในราวป่า นกอินทรีที่กำลังกางปีกบินร่อนตีวงโค้งเล่นลมอยู่บนท้องฟ้าอย่างสง่างามเอ่ยสวนลงมาว่า "ชีวิต..มันคือความพยายามที่จะต่ายเพดานบินให้มันสูงขึ้นๆ..นะสิ!"ในที่สุด เมื่อแสงตะวันเริ่มลับไปที่ขอบฟ้าไกล ในเมืองนั้นเมื่อยามราตรีเข้าปกคลุมลง ผู้ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมาจากงานเลี้ยงด้วยความเมา "ชีวิต" เขาร่ำร้องด้วยเสียงอันดัง"ชีวิตทำไมมันบัดซบจริงๆเลยเพียรพยายามที่จะแสวงหาความสำเร็จแต่ทำไมพบแต่ความผิดหวังทุกครั้งไปไม่เข้าใจ".และเมื่อความมืดแห่งยามราตรีได้ครอบครุมอยู่นานก็ถึงเวลารุ่งสางของวันใหม่ ขอบฟ้าเบื้องทิศตะวันออกก็ถูกฉาบไปด้วยแสงสีชมภูดูสดสวย "ชีวิตคือการเริ่มต้นที่คงความเป็นนิรันดร์ยามรุ่งอรุณนี้เมื่อตื่นเราก็เป็นผู้เปิดฉากในชีวิตของวันใหม่ที่มีสิทธิเลือก..ที่จะเป็น...ที่จะทำ..ในทุก วัน!!!มิใช่หรือ???
@...เป็นกุหลาบที่คอยเปลี่ยนเป็นผีเสื้อในแสงสีเป็นมดงานที่ลำเค็นเป็นสายฝนเจ้าน้ำตาเป็นอินทรีคิดงานใหญ่หรือเป็นแค่คนเมาที่ดี แต่ โวยวาย???.   @จมอยู่กับอดีตเหมือนเดินคำทางในความมืดพรุ่งนี้ก็ให้ล้มเหลวอีกสว่างแล้วก็เพียงให้รอบคอบในก้าวเดินอนาคตความสำเร็จอยู่ไม่ ไกล
@ ผิดพลาดเมื่อวาน เป็น ประสบการณ์
     ตั่งใจของวันนี้     เป็น การค้นพบ
     ความสำเร็จ       เป็น การเริ่มต้นที่ดีของวันใหม่

15 มกราคม 2012

8 มกราคม 2012

1 มกราคม 2012
O612  เรื่อง บะหมี่น้ำ1 ชาม
31ธันวาคม2528วันส่งท้ายปีเก่าที่ร้านบะหมี่"ฮอกไก"บนถนนซัปโปโรวันนี้คนแน่นร้านทั้งวันตั่งแต่เช้าการกินบะหมี่วันสิ้นปีถือเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น จนกระทั่งถึงเวลา22:00 น.พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป เถ้าแก่ร้านและเถ้าแก่เนี้ยก็ช่วยกันปิดหน้าร้าน วันนี้จะปิดร้านเร็วกว่าปกติเพื่อให้ลูกจ้างได้กลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวแต่แล้วประตูหน้าร้านกลับถูกเปิดออกอย่างเบาๆมีผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กชายเล็กๆ2คนอายุประมาณ6ขวบและ10ขวบเดินเข้ามาหญิงนั้นเอยปากด้ยความเกรงใจว่า"ขอสั่งบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ" "เชิญนั่งครับ เชิญนั่ง"เถ้าแก่ร้องทักด้วยความยินดี "ได้คะ ได้คะ ทำไมจะไม่ได้ค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยกุลีกุจอพาทั้งสามไปนั่งที่โต๊ะเบอร์ 2 ชิดผนังด้านหนึ่ง ขณะเถ้าแกเริ่มลงมือลวกบะหมี่ บะหมี่น้ำ 1ชามใช้บะหมี่ 1ก้อนมากัน 3คน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มลงไปอีก ครึ่งก้อนต้มบะหมี่ได้ชามใหญ่กว่าปกติ3คนแม่ลูกล้อมวงทานบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อยไม่นานบะหมี่ก็หมดชามจ่ายเงินไป150เยน"ขอบ
คุณมากนะคะ บะหมีอร่อยมากค่ะ" หญิงนั้นค้อมตัวลงเล็กน้อยแล้วพาลูกทั้งสองจากไป"ขอบคุณมากครับ (ค่ะ). สวัสดีปีใหม่นะค่ะ (ครับ) เสียงเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยกล่าวตามหลังไป!หนึ่งปีผ่านไป วันที่ 31ธันวาคมก็เวียนมาอีกรอบ ร้านบะหมี่ ฮอกไก ก็ยังคงขายดี สองตายายก็ยังคงวุ่นวายอยู่จนกระทั่ง22:00น.ทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้งขณะเถ้าแก่เนี้ยปิดประตูร้านแล้วประตูนั้นก็กลับถูกเปิดเบาๆขึ้นอีกครั้งผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็ดชาย2คนพอเห็นเถ้าแก่เนี้ยก็นึกได้ว่าเป็นลูกค้าชุดสุดท้ายเมื่อวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้วนั่นเอง"ขอโทษนะคะมาตอนร้านปิดแล้วขอสั่งบะหมี่น้ำ1ชามได้ไหมค้ะ""ได้คะได้คะเชิญนั่งตามสบายนะค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้วพร้อมตะโกนไปพลางว่า"โต๊ะเบอร์2บะหมี่น้ำ1ชาม"เถ้าแก่รับคำพลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับเถ้าแก่เนี้ยแอบไปกระซิบข้างหูเถ้าแก่ว่า"นี่เราแถมให้เขาอีก2ชามไม่ได้หรือ"ไม่ได้ถ้าทำอย่างนั้นจะทำให้เขาอายและไม่สบายใจรู้ไหม"เถ้าแก่ตอบพลางแล้วใส่บะหมี่เพิ่มลงไปอีก1ก้อนในน้ำที่กำลังเดือดก่อนหันมายิ้มให้กับเถ้าแก่เนี้ยพร้อมหยอกขึ้นว่า"น่าตาซื่อๆดูทึ่มๆแบบนี้ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนจิตใจดี๋ดี".แล้วเถ้าแก่ก็ตักบะหมีชามโตที่กลิ่นหอมชวนกินให้เถ้าแก่เนี้ยนำไปเสริพที่โต็ะ.....3คนแม่ลูกกินไปพลางคุยไปพลางเสียงคุยของทั้งสามดังไปถึงสองตายายเจ้าของร้าน"บะหมี่ร้านนี้หอมสุดยอดไปเลย""อร่อยมากอร่อยจริงๆ""ปีหน้าเราสามารถมากินได้อีกก็ดีนะ"กินเสร็จแล้วผู้เป็นแม่ก็จ่ายเงินไป150เยนแล้วกล่าว"ขอบคุณคะสวัสดีปีใหม่นะค้า"แล้วทั้งสามก็เดินออกจากร้านขณะเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยยืนส่งตามหลังจนทั้งสามลับหายไป....????และเรื่องนี้เองทำให้ตายายทั้งสองต้องหยิบยกขึ้นมาพูดคุยซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะเวลาหนึ่งขณะที่กิจการของร้านดีมากและเมื่อเศรษฐกิจทีบตัวสูงขึ้นมากที่สุดร้านบะหมี่ฮอกไกก็ต้องจำใจขึ้นราคาจากบะหมี่ชามละ150เยนมาเป็น200เยนและเมื่อถึงวันที่31ธันวาคมอีกครั้งวันซึ่งสองตายายต่างวุ่นวายจนกระทั่งเวลา21:00น.ทั้งสองต่างเริ่มกระวนกระวายใจจะรีบปิดร้านแล้วให้พนักงานแยกย้ายกลับไปบ้าน พอคนกลับหมดทั้งสองต่างช่วยกันเอาป้าย"บะหมี่ชามละ200เยน" ออกแล้วช่วยกันเขียน"บะหมี่ชามละ150เยน"ขึ้นไปแทนและเถ้าแก่เนี้ยยังได้นำป้าย"จองแล้ว"ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์2เหมือนเจตนาตั่งใจรอลูกค้าที่กำลังจะมาถึง22:00น.ประตูร้านค่อยๆแง้มออกในที่สุด3คนแม่ลูกก็ได้ปรากฎตัวขึ้นครั้งนี้เด็กคนโตสวมชุดมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนน้องชายสวมแจ็กเก็ดที่พี่ชายใส่เมื่อปีที่แล้วดูหลวมไม่พอดีตัว ส่วนแม่ก็ยังสวมเสื้อโค้ทที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม "เชิญคะเชิญคะจองโต๊ะเบอร์2ไว้ให้แล้วค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจพร้อมมองดูใบหน้ายิ้มแย้มท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของสามี ถึงกับทำให้ผู้เป็นแม่ของลูกทั้งสองเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงก เงิ่นเงิ่น ว่า "รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้ ให้สัก 2ชามได้ไหมคะ" "ได้แน่นอนคะเชิญนั่งก่อนนะค้า"เถ้าแก่เนี้ยตอบแล้วรีบนำป้ายจองแล้วออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"บะหมี่น้ำ2ชาม"เถ้าแก่รับคำพลางโยนบะหมี่ลงในน้ำสามก้อนสามคนแม่ลูกกินไปคุยไปอย่างมีความสุขขณะสองตายายยืนหลังโต๊ะทำบะหมี่และได้รับรู้รับฟังเรื่องราวความสุขที่ทั้งสามที่ต้องต่อสู้กันมาในใจก็พลอยชื่นชมยินดีเรื่องของเรื่องเกิดจากเมื่อประมาณ3ปีที่แล้วพ่อของลูกชายทั้งสองได้ขับรถตู้ไปประสพอุบัติเหตุเสียชีวิตและยังเป็นเหตุให้คนอีก8คนในรถต้องได้รับบาดเจ็บและทางบริษัทประกันภัยปฎิเสธการรับผิดชอบทำให้ครอบครัวนี้ต้องจ่ายสินไหมทดแทนจำนวนทั้งสิ้นถึงมากกว่า3ล้านเยนครอบครัวนี้จึงจำต้องขายทรัพย์สินที่พอมีไปชดใช้ที่เหลือยังต้องผ่อนชำระอีกเดือนละ5หมื่นเยนเป็นเวลาถึง3ปีตอนหนึ่งผู้เป็นแม่ได้กล่าวกับลูกทั้งสองว่า"แม่ต้องขอบใจลูกทั้งสองกับวันเวลาที่พวกเราต้องลำบากกันเจ้าก็ต้องลำบากไปส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านทั้งเช้าเย็นส่วนเจ้าเหลือเชื่อที่สามารถดูแลบ้านแทนแม่ได้ทำให้แม่ได้ทำงานล่วงเวลาตอนเย็นได้อย่างไม่ต้องห่วง วันนี้แม่มีความดีใจที่จะบอกกับเจ้าทั้งสองว่า เราได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือทั้งหมดได้หมดแล้ว" "ว้าวแม่ครับ พี่ครับอย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าแม่ครับ แม่ให้ผมช่วยงานบ้านทั้งหมดต่อไปนะครับ ผมจะรีบกลับจากโรงเรียนเหมือนเคย แม่จะได้ไม่เหนื่อยหลังเลิกงาน"น้องคนเล็กพูดขึ้นด้วยความดีใจ"ส่วนผมจะขอส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับมาอ้ายน้องชายเราจะร่วมกันสู้ต่อแล้วนะ""อ้อแม่ครับพวกเราก็มีข่าวดีให้แม่เช่นกันน้องผมชนะเลิศเรียงความจากโรงเรียนทั้งหมดของจังหวัดฮอกไกโด"พี่ชายพูดเสริม"จริงหรือลูกแล้วลูกเขียนเรียงความเรื่องอะไร"น้องคนเล็กรีบตอบผมเขียนเรื่อง"บะหมี่น้ำ1ชาม"ครับในเรียงความผมเขียนถึงการต่อสู้ของพวกเราหลังพ่อจากไปทิ้งหนี้สินให้พวกเราไว้มากมาย แม่ต้องทำงาน2กะ พี่ชายต้องออกไปส่งหนังสือพิมพ์เช้าเย็น ส่วนผมต้องดู
แลบ้านพวกเราไม่เคยบ่นไม่เคยต่อว่าและถึงวันสิ้นปีแม่จะพาพวกเราไปกินร้านบะหมีน้ที่ีอร่อยที่สุดอร่อยมากคุณตาคุณยายเจ้าของร้านให้ความกรุณาอย่างมากเพราะร้ายปิดแล้วแต่ก็ยังลงมือทำให้เป็นพิเศษบะหมี่ชามใหญ่หนึ่งชามช่วยให้เราสามคนได้ส่งท้ายปีเก่าด้วยกันและผมภูมิใจกับความกล้าของคุณแม่ที่สั่งบะหมี่น้ำจากร้านมีชื่อที่สุดของจังหวัดฮอกไกโดหนึ่งชามเพื่อกินกัน3คนโดยไม่รู้สึกอายอย่างไร"บะหมีน้ำ2ชามได้หมดลงแล้ว ภาพสามคนแม่ลูกนั่งกุมมือกันอย่างมีความสุข จ่ายเงินไป300เยน กล่าวขอบคุณ แล้วเดินออกจากร้านไป เจ้าของร้านทั้วสองมีความรู้สึกได้ว่า ปีนี้ครอบครัวนี้น่าจะผ่านไปได้แล้วจริงๆ "ขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)ในมือยังถือผ้าขนหนูไว้คนละข้างพยายามซับน้ำตาที่มันยังคงไหลไม่หยุด..!?และแล้วปีเก่าอีกปีก็กำลังจะผ่านไป วันนี้ร้านบะหมี่ฮอกไกได้วางป้ายจองไว้ที่โต๊ะเบอร์2ตั่งแต่หัววันสองตายายเฝ้ารอการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคยแต่ทั้งสามก็ไม่ได้มาปรากฎตัวแต่อย่างไร รวมทั้งปีต่อๆมา โต๊ะเบอร์ 2ก็ยังถูกจองแต่ก็ยังว่างเช่นเคย หลายปีนี้กิจการของร้านฮอกไกได้ขยายและตบแต่งร้านใหม่โดยโต๊ะเก้าอี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นของใหม่เกือบทั้งหมดยกเว้นโต๊ะเก้าอี้เบอร์ 2 ที่เก็บไว้เหมือนเดิม "นี่มันเรื่องราวอย่างไรกัน" ลูกค้าต่างตั้งคำถามเถ้าแก่เนี้ยก็จะบอกเล่าถึงเรื่องราว"บะหมี่น้ำ1ชาม"ให้ลูกค้าฟังและโต๊ะเก่านี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจบอกเล่าเรื่องราวการสู้ชีวิตซึ่งไม่แน่ว่าสักวันทางร้านจะได้ใช้ต้อนรับลูกค้าทั้งสามโดยโต๊ะนี้ถูกตั่งชื่อว่า"โต๊ะแห่งความสุข"ลูกค้าต่างเล่าต่อๆกันไปจนทุกวันที่31ธันวาคมจะมีนักกินบะหมี่มากมายที่แม้จะต้องเดินทางไกลรวมทั้งเจ้าของร้านค้าในเมืองเองก็จะมาชุมนุมฉลองส่งท้านปีที่ร้านฮอกไกนี้ ทุกคนต่างรู้ถึงตำนานแต่พยายามไม่เอยถึงแม้ต่างก็คิดเหมือนกันว่า "โต๊ะจอง" ปีนี้ก็คงว่างเปล่าเพื่อส่งท้านปีเก่าอีกเช่นเดิมส่งท้ายปีเก่าปีนี้หลังผ่านการเล่าขานเป็นปีที่14เมื่อเวลาผ่านไปจนถึง22:00น.ประตูร้านฮอกไกได้ปิดลงแล้วแต่ภายในร้านยังเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่ถือเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่จะส่งท้ายปีและต้อนรับปีใหม่ที่นี่เวลาได้ผ่านมาถึง22:30น.ทันใดนั้นประตูร้านได้ถูกค่อยๆถูกแง้มออกทุกคนในร้านได้หยุดพูดคุยลงในทันทีสายตาทุกคู่มองตรงไปที่ประตูร้านชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากลพาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขนพอเห็นว่าผู้มาเป็นใครทั้งหมดก็เริ่มสนทนากันต่อจากบรรยากาศตอนแรกที่เริ่มจะเครียดในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่าที่นั่งเต็มหมดแล้วก็มีหญิงคนหนึ่งในชุดกิโมโนเดินแทรกเข้ามาระหว่างกลางชายหนุ่มทั้งสองพูดขึ้นว่า"เออ..รบกวนขอสั่งบะหมี่น้ำให้ 3ชามได้ไหมค้า"เถ้าแก่เนี้ยพอได้ยินเสียงสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที14ปีของภาพในความทรงจำกับภาพสามแม่ลูกตรงหน้าเธอพยายามนำภาพทั้งสองมาซ้อนกัน ส่วนเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ที่หลังโต๊ะทำบะหมี่ ยืนตะลึงชี้นิ้วไปยังทั้งสาม "พวกคุณ!!พวกคุณ" แม้คำพูดจะจุกอยู่ที่คอเถ้าแก่ก็พยายามพูดต่อ"เชิญครับ..เชิญ.โต๊ะเบอร์2ว่างอยู่ครับ"ขณะที่คนในร้านกลับมาเครียดต่อในทันทีกับการสิ้นสุดการเฝ้าคอยของวันนี้กับ"โต๊ะจอง"ที่เจ้าของร้านจะจองให้ลูกค้าพิเศษที่จะมาหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีพวกเขาต่างมองมาที่สามคนแม่ลูกด้วยความนับถือส่วนชายหนุ่มหนึ่งในสองเมื่อเห็นท่าทีของเถ้าแกเนี้นที่ยังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกอยู่เลยพูดขึ้นว่า"พวกเราเมื่อ14ปีที่แล้วในวันสิ้นปีเก่าหลังร้านปิดเราจะมาขอสั่งบะหมี่น้ำ1ชามเพื่อกินกันสามคนแม่ลูกไงครับตอนนั้นมันคงดูน่าอายนะครับแต่พวกเราก็ได้แรงบันดานใจจากบะหมี่ชามนั้นทำให้ยืนหยัดจนถึงวันนี้วันนี้ผมมารายงานตัวเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรส่วนน้องชายได้ทำงานธนาคารที่แบงค์เกียวโตในวันส่งท้ายปีนี้พวกเราคิดว่าไม่มีอะไรจะดีกว่ามาเยี่ยมคารวะท่านเจ้าของร้านผู้อารีของร้านฮอกไกทั้งสอง และรบกวนขอทานบะหมี่น้ำสัก 3ชาม"สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า ที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ "เชิญคะ โต๊ะเดิมคะโต๊ะเบอร์ 2....นี่ตาเฒ่า...อย่ายืน..งง..บะหมี่น้ำ 3ชามโต๊ะ 2" เถ้าแก่เนี้ยร้องสั่งสามีด้วยสีหน้าเปียมรอยยิ้มแห่งความยินดี ขณะเถ้าแก่ที่ยังยืนตะลึงอยู่รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำ "ได้เลยครับ...บะหมี่น้ำชามใหญ่3ชาม" แล้วหยิบบะหมี่ 4ก้อนครึ่ง โยนลงในน้ำ ท่ามกลางเสียงตบมือดังไปทั้ว
@   คำพูดจริงใจ กับความมีน้ำใจ ถึงไม่มากมาย ก็อาจช่วยผู้อยู่กับความจริงอันโหดร้ายให้มีกำลังใจผ่าน
สถานการณ์คับขันนั้นได้..บอกผู้อื่นอย่ามองข้ามตัวเอง..บอกตัวเราให้อยู่กับความเป็นจริง.....
ปีใหม่นี้ก็แค่เริ่มจากคำพูดว่า "สวัสดีปีใหม่ครับ (คะ)" "ขอบคุณครับ (คะ)" แล้วก็เริ่มหัดพูดคำว่า
"ขอโทษครับ (คะ)"

25 ธันวาคม 2011
เรื่องเกี่ยวข้องกับ วันคริสต์มาส
คริสต์มาส(Christmas,Christ'smass,Xmas)เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองในการประสูติขององค์พระเยซูคริสต์ในหลายประเทศจะตรงกับวันที่25ธันวาคมแต่เดิมคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองเฉพาะชาวคริสเตียนต่อมาเมื่อมีผู้นับถือศาสนาจำนวนมากมาย ไปทั้งโลกงานองคริสต์มาสจึงได้ถือเป็นงานประเพณีสากลที่ได้รับความนิยมแพร่หลายรวมไปถึงการให้ของขวัญเพลงคริสมาสการแลก เปลี่ยนการด์อวยพรการตกแต่งสถานที่ต้นคริสมาสและอาหารมื้อพิเศษและยังเป็นตำนานอันเป็นที่รู้จักเกี่ยวกับซานตาคลอสซึ่งเป็นที่ มาของการให้ของขวัญเด็กๆ.???การเฉลิมฉลองวันคริสมาสได้รับการเฉลิมฉลองเป็นเทศกาลหลักและเป็นวันหยุดราชการในหลายประ เทศทั่วโลกรวมถึงประเทศที่ประชากรส่วนใหญที่มิใช่คริสเตียนก็รับเอามุมมองของการให้ของขวัญการตกแต่งสถานที่อาหารมื้อพิเศษ จนเป็นประเพณีสากลถึงปัจจุบันและยังเป็นช่วงเวลาที่มีคนเข้าโบสถ์มากที่สุดของปีคำอวยพร Merry Christmas สุขสันต์วันคริสมาส คำว่าMerryแปลว่าสันติสุขสงบทางใจจึงเป็นคำอวยพรให้ผู้อื่นได้รับทั้งสันติและความสงบสุขทางจิตใจและยังมีเพลงที่อวยพรให้มี ความสุขที่ใช้จังหวะสนุกสนาน(เพลงส่วนใหญ่จะแต่งในยุคพระนางวิกตอเรียแห่งอังกฤษประมาณปีค.ศ.18401900)ปัจจุบันเพลงคริสมาสนี้ได้แพร่หลายและมีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่นไปทั่งโลกต้นคริสต์มาสในประเพณีปัจจุบันการตั้งต้นคริสต์มาสมีความหมายถึงองค์พระเยูซูคริสต์ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิตที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาลการตกแต่งไฟบนต้นคริสมาสยังหมายความถึงความสว่างของพระองค์ที่ส่องไปยังความมืดสิ่งตกแต่งบนต้นก็ให้ความหมายถึงความสามัคคีความชื่นชมยินดีต้นคริสมาสจึงเป็นเสมือนจุดรวม ของคนในครอบครัวของเทศกาลนี้.ที่มาของต้นสนที่ใช้เป็นต้นคริสต์มาสอาจต้องย้อนไปในศตวรรษที่8เมื่อมิชชันนารีชาวอังกฤษที่ได้ เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในประเทศเยอรมันนีได้ช่วยเหลือเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยตามความเชื่อเก่าๆที่ใต้ต้นโอ๊ก และเมื่อด้โค่นต้นโอ๊กทิ้งแทนการฆ่าเด็กก็ได้พบต้นสนเล็กๆต้นหนึ่งจึงได้ให้ผู้ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นขุดขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และได้ตั้งชื่อว่า"ต้นพระกุมารในพระคริสต"์ต่อมาในเดือนธันวาคมปีค.ศ.1540มาร์ตินลูเธอร์ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมันได้ตัดต้น สนไปตกแต่งไว้ในบ้านหลังจากนั้นต้นคริสมาสจึงได้แพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองไปทั้งโลกจนถึงปัจจุ บันคริสต์มาสอีฟคืนก่อนวันคริสต์มาสจะมีแครอลลิ่งคือการไปร้องเพลงตามบ้านในคืนวันที่24ควบต่อเช้าวันที่25หรือผู้นับถือในศาสนาคริสต์จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกันเช่นการแสดงร้องเพลงและทานอาหารมื้อพิเศษร่วมกันซานตาคลอสเป็นจุดเด่นที่
เด็กๆนิยมมากที่สุดทั้งที่แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความหมายของเทศกาลนี้เลยชื่อซานตาคลอสมาจากชื่อของนักบุญนิโคลาสที่จะมาเยี่ยมเด็กๆและนำของขวัญมาให้ในคืนวันที่ 6ของเดือนธันวาคมราวศตวรรษที่4เมื่อชาวฮอลแลนด์ได้อพยพไปอยู่สหรัฐก็ยังคงรักษา
ประเพณีนี้ไว้และได้แพร่หลายไปในอเมริกาโดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจากชื่อนักบุญนิโคลาสมาเป็นซานตาคลอสและแทนที่จะ
ป็นนักบุญก็กลายเป็นชายแก่ร่างอ้วนผมขาวหนวดเคราขาวแต่งชุดแดงมีเลื่อนลากด้วยกวางเรนเดียเป็นพาหนะและได้สร้างเรื่องราว
ว่าในคืนวันคริสมาสจนเป็นที่เล่าขานว่า ซานตาคลอส จะมาเยี่ยมเด็กทุกคนที่เป็นเด็กดี ทางปล่องไฟของบ้านเพื่อนำของขวัญมาให้
ความหมายที่แท้จริงของวันคริสต์มาสใน.พระคำยอห์นบทที่3ข้อที่1617เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว
ของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลกมิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษแต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้นเดือนธันวาคมเทศกาลคริสต์มาสได้เริ่มแล้วคุณได้เตรียม:ของขวัญการ์ดอวยพรแต่งต้นคริสต์มาสเช็ควันเฉลิมฉลองที่คริสตจักรและแน่นอนนัดหมายคนในครอบครัวกับอาหารมื้อพิเศษของคุณแล้วรือยัง?!?!"ขอพระเจ้า ทรงโปรดเมตตามายังคุณและครอบครัว"และขอกล่าวคำ"สุขสันต์วันคริสต์มาสMerryChristmas"ให้คุณที่อ่นได้รับสันติสุขและความ สงบสุขทั้งทางกายและใจ อาเมน.

18 ธันวาคม 2011
น้ำแห่งชีวิต (The water of Life)
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีเรื่องเล่าขานถึงน้ำแห่งชีวิตที่เมื่อได้ดื่มแล้วชีวิตนั้นจะเป็นอมตะมีพลานุภาพเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจแห่งเวทย์มนต์อยู่ณ.ที่ใดที่ หนึ่งในหุบเขากลางทะแลทรายและยังไม่มีใครสามารถนำน้ำวิเศษนั้นกลับออกมาได้แม้แต่คนเดียวพระราชาองค์หนึ่งทรงชุด เกราะเต็มยศพร้อมเหล่าองครักษ์ได้ออกตามหาโดยมีความคิดว่าน้ำแห่งชีวิตนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทรงพลานุภาพสามารถใช้เป็นอาวุธที่จะกำหลาบศตรูของพระองค์ทั้งหมดให้เป็นเมืองขึ้นได้พระองค์ฝันถึงความเป็นมหาราชแม่มดผู้มีความสามารถผู้เปียมด้วยวิธีการให้ผู้คนเคารพและเกรงกลัวเป็นคนที่สองหล่อนมีความเชื่อว่าถ้าเธอได้น้ำวิเศษนั้นมามันจะต้องเป็นอะไรที่ทำให้เธอมีเวทย์มนต์แบบจริงจังเสียทีเธอจะสยบทุกผู้คนได้ตามใจนึกและเธอจะเป็นผู้วิเศษในที่สุดหล่อนรีบแต่งกายเต็มด้วยเสื้อครุมสีดำตัวยาว พร้อมนำอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมเดินทางเข้าสู่ทะแลทรายด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าสามารถหาน้ำวิเศษพบและในเวลา ใกล้เคียงกันก็ได้มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งเดินทางเข้าสู่ทะแลทรายที่ร้อนระอุด้วยเช่นกันเป็นกลุ่มคนพวกที่สามพร้อมข้าทาสมากมายเขาได้นำสมบัติติดตัวมาด้วยทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทองคำไข่มุกและเพชรนิลจินดาพ่อค้าผู้มั่งคั่งคิดว่าเขาสามารถที่จะซื้อน้ำแห่งชีวิตไว้ ในความครอบครองได้ชีวิตเขาจะต้องเป็นอมตะในที่สุดทั้งสามกลุ่มก็สามารถเดินทางมาถึงหุบเขากลางทะแลทรายด้วยความไม่สมประกอบพระราชาต้องทิ้งเหล่าองค์รักษ์ทั้งหมดเพียงเพื่อจะมีอาหารและน้ำดื่มเพียงพอกับวินาทีสุดท้ายที่พระองคจะได้พบ กับสายน้ำแห่งชีวิตแม่มดที่ลากสังขานใกล้ตายกับอุปกรณ์ที่เหลือน้อยชิ้นก็มาถึงได้ในเวลาใกล้เคียงและสุดท้ายพ่อค้าที่เหลือตัวคนเดียวเช่นกันและยังจำต้องลากทรัพย์สมบัติมาเพื่อจะซื้อสายน้ำวิเศษนี้ด้วยความเหนื่อยยากลำบากกับลมหายใจที่เกือบขะขาดห้วนลง   แล้วสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายได้พบ ที่พวกเขาต่างได้เข้าใจถึง น้ำอมตะ น้ำวิเศษ หรือสายน้ำแห่งชีวิตนั้น ผิดถนัด ...!!!??? มันไม่ใช่สิ่งที่ทรงพลานุภาพสามารถนำไปกำหลาบศัตรูมันไม่ใช่น้ำวิเศษที่นำไปทำเวทย์มนต์และแน่นอนมันไม่น้ำที่ดื่มแล้วจะคงความเป็นอมตะมันเป็นเพียงแอ่งน้ำพุเล็กๆที่หยาดน้ำสะอาดใสผุดขึ้นมาจากซอกหินที่เดียวกลางในหุบเขาแห้งแล้งของทะแลทรายแต่มีความจำเป็นที่สุดที่จะต้องเรียกมันว่าน้ำแห่งชีวิตและมีวิธีเดียวเท่านั้นที่คนทั้งสามจะได้ดื่มมันดังนั้นพระราชาจำต้องถอดชุดเกราะเต็มยศแล้วคุกเข่าลงดื่มแม่มดที่ต้องทิ้งอุปกรณ์เวทย์มนต์ทั้งหมดเพื่อลากสังขานให้ถึงน้ำนั้นและพ่อค้าที่จำเป็นต้อง ทิ้งสมบัติทั้งหมดเพื่อคงเหลือลมหายใจเพียงพอที่จะที่จะมาถึงแอ่งน้ำพุเล็กๆนี้และได้ดื่มมันน้ำแห่งชีวิตน้ำที่ไม่ต้องซื้อหามาด้วยเพียงร่างกายที่เปลือยเปล่าแค่เพียงคุกเข่าลงก็ได้ดื่ม และรับความหวานเย็นชื่น แห่งชีวิตเป็นการตอบแทน
11 ธันวาคม 2011
เริ่มต้นที่ คิดดี
ยังมีพระราชาองค์หนึ่งทรงนำทัพกลับสู่พระนครด้วยชัยขนะพร้อมทรัพย์สินและเสบียงอาหารมากมายพระองค์ทรง
ะปรีชาและกล้าหาญทรงพัฒนานครของพระองค์จนกลับมามั่งคงทำให้ประชากรในเมืองของพระองค์กลับมารุ่งเรืองและมี
ความสุขอีกครั้งอยู่มาวันหนึ่งขณะออกว่าราชการขุนนางใหญ่ได้กราบทูลขึ้นว่า"ราษฎรของพระองค์ในเขตพระนครต่าวแซ่ซ้องสรรเสริญในความพระปรีชาของพระองค์แต่ราษฎรที่ยากจนและอดยากบางส่วนที่อาศัยอยู่นอกเมืองได่ข่าวว่าต่างติฉินต่อว่า
พระองค์ว่าทรงไม่เหลียวแล ข้าพระองค์เห็นสมควรว่าคนพวกนี้ต้องถูกปิดปากหรือถูกนำมาลงโทษ"พระราชาเมื่อทรงรับฟังแล้ว แทนที่จะพิโรธกับร้อนพระทัยรับสั่งกลับไปว่า"นครเราเป็นนครใหญ่พวกเจ้าจะปิดปากเสียงเหล่านี้ได้อย่างไรในเมื่อเสียงเหล่านี้จะบ่งบอกถึงความบกพร่องของของเรา บ้านเมืองจะมั่งคง ต้องยึดหลักความเป็นธรรมและความสุขของประชาราษฎ์เป็นหลัก พวกเรานั่นแหละที่ผิดที่หลงลืมคนของเราที่ยังมีอาศัยอยู่ห่างไกลออกไปนอกเมือง"ทรงให้จัดเตรียมเสบียงอาหารมากมายและ ให้เดินทางในทันทีเมื่อถึงวันที่หกพระราชาทรงเสด็จมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งทั้งหมู่บ้านเหลืออยู่เพียงสองครอบครัวทรงรับฟังถึงความคับแค้นเนื่องจากความแห้งแล้งของพื้นดินพระราชาจึงทรงรับสั่งว่า"จากที่ตรงนี้ถ้าพวกเจ้าเดินทางจะใช้เวลาไม่เกินสามสิบห้าวันผ่านทะแลทรายที่แห้งแล้งพวกเจ้าจะถึงทะแลที่นั่นจะมีเรือที่เราทิ้งไว้หลังใช้ทำศึกสงครามพวกเจ้าสามารถใช้เรือเหล่านั้นออกหาปลาและอาชีพประมงนี้มันจะทำพวกเจ้ามั่งคง"พระราชาทรงประทานเสบียงอาหารให้ทั้งสองครอบครัวเท่ากันที่พอเพียงสำหรับสามสิบห้าวันของการเดินทางและทรงเดินทางกลับพระนครครอบครัวแรกเมื่อได้เสบียงอาหารและน้ำดื่มมาก็รีบลงมือวางแผนการเดินทางในทันทีโดยการแบ่งอาหารและน้ำดื่มแบบประหยัดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เพียงพอสำหรับการเดินทางที่ อาจมากกว่าสามสิบห้าวันแล้วออกเดินทางในทันทีเพียงนำพาของใช้ที่จำเป็นไปด้วยเท่านั้นแน่นอนเมื่อผ่านสามสิบห้าวันของ การเดินทาง ครอบครัวนี้ก็ได้เดินทางมาถึงทะแล ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายมาเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่มั่งคั่งอีกทั้งยังได้ส่งอาหาร
จากทะแลไปถวายพระราชาอีกเป็นนิจส่วนอีกครอบครัวเล่าทันทีที่ได้รับเสบียงก็ให้รีบลงมือหุงหาอาหารเลี้ยงฉลองในความ โชคดีจนสามวันให้หลังก็รีบออกเดินทางโดยนำเครื่องใช้ไม้สอยติดตัวไปเกินความจำเป็นอีกทั้งยังต้องเร่งเดินทางเพื่อชดเชย เวลาสามวันที่เสียไปพอเหนื่อยมากการใช้น้ำดื่มจึงไม่สามารถควบคุมได้เมื่อการเดินทางถึงเพียงครึ่งทางน้ำดื่มก็ใกล้หมดครอบครัวนี้จึงต้องจบชีวิตลงที่กลางทะแลทราย..นั่นเอง!?!?
@@.     - ผู้นำที่ดี ต้องเริ่มต้นด้วยการคิดดี และพร้อมทำในสิ่งที่ถูกต้อง
              - เริ่มต้นเลี้ยงฉลอง กับผลงานที่ยังไม่ได้เริ่มทำ หรือ เริ่มทำแผนงานที่ดี แล้วฉลองความสำเร็จที่ตามมา
              -เสียงเรียกร้องเบาหู ที่ห่างไกลนำมาถึงเรื่องที่ต้องแก้ไขเสียงอึกทึก ครึกโครม ก็แค่เชลียรหู อยากให้ฟัง

4 ธันวาคม 2011
เรื่อง พ่อจ๋า.... หนูขอโทษ  (จากโฆษณา ไทยประกันชีวิต)
ตั้งแต่จำความได้หนูก็เห็นพ่อขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าบ้านพ่อขยันไม่จ้างใครตื่นแต่เช้าเข้านอนดึกถึงลูกค้าพ่อจะมากอย่างไรพ่อก็จะคอยหาเวลาเล่นกับหนูในวันอาทิตย์พ่อจะหยุดและจะพาหนูไปเที่ยวเล่นไม่ได้ขาด แต่พอหนูโตพอที่จะเข้าโรงเรียน หนูเริ่มสังเกตุเห็นข้อแตกต่าง เด็กทุกคนจะมีแม่หรือพ่อแม่มาส่งแล้วหยุดทักทายกับครูหรือผู้ปกครองด้วยกันแต่พ่อหนูจะรีบกลับ..และความแตกต่างยิ่งชัดเจนเมื่อหนูเรียน
ในชั้นมัธยมปลายหนูจะถูกเพื่อนๆเรียกว่า....อ้ายบอดอ้ายหนวกหรือ..ไอ้ใบ้..ลูกไอ้ใบ้ทำให้มีเรื่องที่ต้องตบตีกันบ่อยครั้งหนูเริ่มทำตัวห่างจาก
พ่อ มีความรู้สึกคิดว่าหนูไม่ชอบพ่อหนู หนูอยากมีพ่อที่ดีกว่านี้พ่อที่ไม่เป็นใบ้ พ่อที่เหมือนพ่อคนอื่น พ่อที่ได้ยินทุกสิ่งที่หนูจะบอก พ่อที่พูดได้
พ่อที่ตามใจและให้ในสิ่งที่หนูอยากได้. แล้วในวันนั้น วันเกิดครอรอบ 15ปี หนูจะไปงานเลี้ยงวันเกิดที่เพื่อนรุ่นพี่หนูจัดให้พ่อไม่ยอมตามใจหนู พ่อบอกพ่อสั่งเค็กวันเกิดให้หนูแล้ว "อ้ายเค็กวันเกิดที่เขียนหน้าเค็กซ้ำกันทุกปีว่า ขอให้ลูกมีแต่ความสุข รักลูกที่สุด" มีความสุขหรือ พ่อไม่เคย
เข้าใจว่าถ้าหนูไม่ออกไปสนุกกับเพื่อนแล้วหนูจะมีความสุขได้อย่างไรหนูเสียใจหนูน้อยเนื้อต่ำใจทำไมหนูถึงไม่มีพ่อที่ตามใจเหมือนยังคนอื่นเขาหนูร้องไห้และขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำด้วยความคับแค้นใจบวกอารมณ์ชั่ววูบหนูตัดสินใจด้วยการใช้คัตเตอร์กรีดไปที่เอ็นข้อมือ...หนูอยากตาย..เหตุผลเดียวคือ..หนูมีพ่อที่แตกต่างจากคนอื่น..และพ่อต้องรับรู้ในเหตุผลนี้??????  หนูตื่นขึ้นในตอนเช้า บนเตียงในห้องของโรงพยาบาล นางพยาบาลในชุดสีขาวกำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนถุงน้ำเกลือเธอหันมายิ้มให้"ดีใจด้วยนะเธอไม่เป็นไรแล้วจ๋าเธอนี่โชคดีมากนะเมื่อคืนฉันเข้า
เวนดึกและพอดีฉันอ่านภาษามือได้ ตอนพ่อเธออุ้มเธอเข้ามาที่โรงพยาบาล ไม่งั้นคงสื่อสารกันลำบาก อีกอย่างพ่อเธอนี่ต้องเป็นยอดมนุษย์นะ เขาอุ้มเธอจากบ้านวิ่งมาถึงที่นี่เพราะเมื่อคืนดึกมากแล้วรถลาก็หายาก"เธอยิ้มให้อีกครั้งก่อนผลักประตูห้องออกไปพร้อมคำพูดว่า"พ่อเธอคงรัก
เธอมากนะ"ขณะหนูมองตามเธอไปประตูหนูก็เห็นพ่อที่หลับฟุบบนเก้าอี้ข้างเตียงในมือของพ่อถือกระดาษอยู่แผ่นหนึ่งหนูเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นดู"พ่ออาจไม่ได้ยินเป็นใบ้...พ่อขอโทษ.,พ่ออาจพูดไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา..แต่พ่ออยากให้ลูกได้รู้ว่า......ลูกเป็นสิ่งเดียวที่พ่อรักมากที่สุด...
แลกได้กับทุกสิ่งที่มี..แม้ชีวิตของพ่อเอง" หนูเอื้อมมือไปจับที่มือพ่อ ทั้งน้ำที่ไหลอาบแก้ม "พ่อจ๋าหนู ขอโทษ หนูสัญญาจะไม่ทำให้พ่อต้อง
เสียใจเพราะหนูอีก" แล้วหนูก็ได้เห็นแววตาดีใจอย่างมากมาย ของพ่อ..หนู.และ ความรู้สึกรักพ่อมากที่สุด "พ่อที่ดูแลและห่วงใย" "แต่นี้ไปหนูจะห่วงใยและดูแลพ่อนะจ๊ะ"  @บางทีคุณอาจไม่มีพ่อที่ดีที่สุด แต่ก็มี พ่อที่รักคุณมากที่สุด ใชไหม
27 พฤศจิกายน 2011
อีสป017 เรื่อง หมาป่า กับ วาสนาของแพะ และ แกะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีหมาป่าจอมเกเรตัวหนึ่งมันจะหากินอยู่แถวต้นลำธารวันหนึ่งมันเห็นลูกแกะตัวหนึ่งกำลังกินน้ำอยู่ใต้น้ำของลำธาร"อ้า!กำลังหิวอยู่พอดีต้องหาเหตุจับเจ้าลูกแกะมาเป็นอาหารเช้าสักหน่อย"หมาป่าคิดในใจแล้ววิ่งไปหาลูกแกะพร้อมร้องด่าด้วยเสียงอันดังว่า"เจ้าแกะน้อยเหตุใดเจ้าจึงกวนน้ำที่ข้ากำลังจะกินให้ขุ่นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ"แกะน้อยรีบตอบกลับอย่างนอบน้อม"หามิได้ๆท่านหมาป่าผู้งามสง่า ข้าน้อยจะทำน้ำให้ขุ่นได้อย่างไรในเมื่อข้าน้อยอนู่ใต้น้ำ""นั่นไง ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องเถียง ข้าเพียงจะบอกเจ้าว่าเจ้าคงจำไม่ได้ว่า เมื่อปีที่แล้วเจ้าเคยแอบด่าว่าข้า"หมาป่าหาเรื่องต่อเจอเข้าไม้นี้ลูกแกะกลัวจนตัวสั่นเพราะรู้ตัวว่าคงไม่รอดแน่แต่ก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่า "ปีก่อนปีก่อนนี้ข้าน้อยยังไม่เกิดเลยท่าน"หมาป่าทิ้งไม้ตาย"นั่นไงนั่นไงข้าคิดอีกที่แล้วมันน่าจะเป็นพ่อของเจ้ามากกว่าที่ด่าข้าเพราะฉนั้นเจ้าสมควรที่จะรับโทษครั้งนั้นแทน" ว่าแล้วหมาป่าก็ตะครุบเจ้าลูกแกะน้อย ฉีกเป็นอาหารเช้าในวันนั้น....?......
บ่ายวันนั้นเจ้าหมาป่าที่เพิ่งกินลูกแกะเป็นอาหารเช้าและกำลังนอนอยู่อย่างเป็นสุขใต้ต้นไม้ใหญ่ต้องตกใจตื่นจากเสียงวิ่งและกระโดดของเจ้าแพะหนุ่มที่กำลังคิกคะนองไม่มีรีรอรีบวิ่งไล่ตามเจ้าแพะหนุ่มหวังตะครุบเก็บไว้กินเป็นเสบียงฝ่ายเจ้าแพะหนุ่มพอรู้ตัวก็ให้รีบวิ่งหนีสุดชีวิตให้ถึงชะง่อนหินที่สูงขึ้นไป มันกระโดดขึ้นด้วยความชำนานจนกระทั่งเจ้าหมาป่าขึ้นไม่ถึงและได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านล่าง จนสามวันผ่นไป
เจ้าแพะก็ไม่ยอมลงมา หมาป่ารู้สึกหิวมากจึงได้ตัดใจผละไปหาสัตว์อื่นแทน......... เจ้าแพะหนุ่มเมื่อเห็นว่าเจ้าหมาป่าไปแล้ว มันนึกพูมใจที่หมาป่าไม่สามารถทำอะไรมันได้ จึงกระโดดลงมาแล้วตรงไปที่ลำธารหาน้ำดื่ม ขณะจะดื่มน้ำ มันมองเห็นเงาตัวเองในน้ำเจ้าแพะมีความรู้สึกเหมือน เงาในน้ำจะพูดกับตัวมันว่า "ท่านนี้มีขาอันเพียวงามทรงพลัง หนวดเคราก็ดูดี งามสง่าอีกเขาคู่ก็แหลมคม ท่านยังต้องกลัวเจ้าหมาป่าอีกหรือ!!??" ความหลงตัวเองชั่วครู่เจ้าแพะหนุุ่มถึงกับรำพึงดังๆกับตัวเองว่า "ถ้าเจ้าหมาป่ากลับมาแล้วละก็ ข้าคงต้องสั่งสอนให้มันรู้จักฤทธิเดชของข้าบ้าง" ในจังหวะนั้นเจ้าหมาป่าก็กลับมาพอดี แพะหนุ่มกำลังแคลิ้มกับความคิดของตัวเองจึงทำหน้าเริดเชิดหยิ่งใส่หมาป่าขณะเจ้าหมาป่ากระโดดงับเข้าที่ขา "เมื่อกี้ ข้าได้ยินแว่วๆว่าเจ้าพูดว่าอะไรนะ" หมาป่าถาม "เปล่า เปล่าเจ้านาย" แพะหนุ่มเริ่มรู้ชะตากรรม ว่าไม่สามารถกระโดดหนีหมาป่าได้อีก ด้วยถูกงับขาหลังไว้ "ข้าไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย แต่หากข้าทำอะไรผิดพลาดให้เจ้านายท่านไม่พอใจ ขอโปรดเมตตาอภัยและกรุณาปล่อยข้าน้อยด้วยเถิด"แพะหนุ่มพยายามอ้อนวอน แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นเสมือนอ้อยเข้าปากช้างมีหรือเจ้าหมาป่าจะยอมเสียเวลาในการฟัง มีแต่รีบจัดการเจ้าแพะหนุมเป็นอาหารในทันที...!นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีกำลังถ้าไร้ซึ่งเหตุและผล ถึงจะเล่นบทลูกแกะ โดยใช้ไม้อ่อน
เข้าว่าก็ตาย หรือจะเล่นบทแพะที่เผลอหยิ่งอย่างโง่ๆ ก็ตายเหมือนกัน จะดีกว่าก็เพียงแต่ยู่ให้ห่างไกลหรือไม่ข้องแวะก็เท่านั้น!?!?!?!
ปัญญาจารย์ 4:13 คนหนุ่มยากจนแต่มีสติปัญญา ก็ดีกว่า กษัตริย์ชราผู้โฉดเขลาที่รับรับคำแนะนำอีกไม่ได้แล้
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2011
วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving )
                วันขอบคุณพระเจ้า ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับหมายเหตุที่ระบุไว้ในพระคำภีร์ของศาสนาคริสต์แต่อย่างใด แต่เป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของการอพยพมาตั่งถิ่นฐานครั้งแรกในแผ่นดินของทวีปอเมริกาโดยในทุกพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน จะเป็นวันที่ชาวอเมริกันจะร่วมฉลองสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้าที่อวยพรให้ได้มีความสุขในรอบปีที่ผ่านมาและเป็นวันสำคัญสำหรับครอบครัวที่จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากันเพื่อรับประทานอาหารเย็นรวมทั้งพูดคุยเรื่องที่ต้องการขอบคุณพระเจ้าด้วยกันและได้เป็นประเพณีสากลที่ชาวคริสเตียนใช้วันดังกล่าวในการ ขอบคุณพระเจ้าด้วยเช่นกันเริ่มจากในปี ค.ศ. 1620 ชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า กลุ่มพิวริแทน(Puritans). ต้องการปรับเปลียนรูปแบบการนมัสการให้เน้นไปตามความเชื่อเรียบง่ายไม่หรูหราตามแบบนิกาย เชิร์ตออฟอิงแลนด์(Church of England)แต่ไม่สามารถเปลียนแปลงอะไรได้ กลุ่มพิวริแทนจึงตัดสินใจตั้งศาสนาจักรของตนเอง เป็นเหตุให้เหล่าขุนนางอังกฤษไม่พอใจอย่างมากและเริ่มทำร้ายทั้งลงมือหาเหตุสั่งฆ่าจนพวก พิวริแทนต้องหนีไปยังประเทศฮอลแลนด์แต่ก็ยังประสพกับปัญหาเดิมอีก ครั้งนี้พวกเขาจึงมีความคิดที่จะย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนที่ไม่มีผู้ใดจะมายับยั้งหรือขัดขวางในหลักการความเชื่อความศรัทธาของพวกเขาอีก
                กลุ่มพิงริแทน จำนวน 102คนบนเรือ เมย์ฟลาวเวอร์ (Mayflower ) ออกเดินทางข้ามมหาสมุทรสู่โลกใหม่ หลังจากใช้เวลาแล่นเรือประมาณ 65วัน เรือก็ได้เข้าเทียบท่าที่ พรอวินซ์ทาวน์ฮาร์เบอร์ (Provincetown Harbor) ปลายแหลมแคพคอด มลรัฐแมซซาซูเสท และหลังใช้ชีวิตบนเรือประมาณหนึ่งเดือนกลุ่มที่ออกสำรวจชายฝั่งอ่าว เคพคอด แถบเมื่องพลีมัธ (Plymount) ก็ได้พบแผ่นดินที่เหมาะกับการเพาะปลูกและทำการประมง นับเป็นการเริ่มต้นตั่งถิ่นฐานถาวรครั้งแรกในอเมริกาแต่พอครั้งถึงฤดูหนาว พวกพิวกริมต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซึ่งยากต่อการรับมือได้เนื่องจากการไม่คุ้นเคย ทั้งปัญหาจากโรคภัยไข้เจ็บตลอดจนอาหารไม่เพียงพอ พวกเขาจึงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากจนล้มตายไปกว่าครึ่งเมื่อสิ้นสุดฤดูหนาวจึงเหลือเพียง 50คนเท่านั้น และในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ได้มีหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงชื่อ แมสซาซอยท์ (Massasoit) เข้ามาในหมู่บ้านและแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตรอีกทั้งได้นำอาหารและเครื่องใช้ต่างๆมามอบให้ นอกจากนี้ยังสอนวิธีเก็บถนอมอาหารให้อยู่ได้นานวันตลอดจนการเพาะปลูก ข้าวโผด ฟักทอง และถั่ว มีผลให้ชาวพิลกริมสามารถเก็บตุนเสบียงอาหารได้ไม่ขัดสนอีกต่อไป
                ปี ค.ศ.1621 ผู้ว่าการคนแรก วิลเลี่ยม แบรดฟอรด์ (William Bradford)ได้กำหนดวันเพื่อเป็นวันขอบคุณพระเจ้าและใช้โอกาศ ทางศาสนานี้ในการประกาศความเมตตาและความรักของพระเจ้า อีกทั้งสร้างความสำพันธ์อันดี ระหว่าง ชาวพิลกริม กับเพื่อนบ้านชาว
อินเดียนแดง โดยอาหารมื้อเย็นในครั้งแรกนี้ ทางหัวหน้าเผ่า แมสซาซอยท์ได้นำเนื้อกวางมาร่วมงานเลี้ยง ฝ่ายพิลกริม พวกผู้ชายได้ออกล่าสัตว์และกลับมาพร้อมกับ ไก่งวง (Turkey) ส่วนพวกผู้หญิงได้เตรียมอาหารอร่อยๆที่ทำจากข้าวโผด ลูกแครนเบอรี่ผลควอชและฟักทอง เมื่ออาหารเย็นสำหรับการขอบคุณพระเจ้าได้เสร็จเรีบยร้อย ได้ถูกนำมาร่วมฉลองกันยังกองไฟกองใหญ่นอกบ้าน เพื่อให้ผู้จัด (Hoste) และแขก (Guests) รู้สึกอบอุ่นแม้ว่าปลายฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเริ่มหนาวแล้ว และในการฉลองนี้ใช้เวลาถึง3วันนับเป็นงานเลี้ยงที่ประสพความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงและเป็นประเพณีที่ถือปฎิบัติมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นจึงจะได้เห็นอาหารหลักที่ถือว่าเป็นอาหารประจำเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าจะมี ไก่งวงอบยัดไส้(Roast turkey with stuffing) ผลควอชขนมปังข้าวโผด(Corn bread) กับซอสแครนเบอร์รี่ (Cranberry sauce) พายฟักทอง (Pumpkin Pir) เช่นเดียวกับอาหารที่หาได้ในยุคสมัยนั้น
                   วันขอบคุณพระเจ้า (เป็นวันพฤหัสบดีที่ 4 สัปดาห์สุดท้าย ของเดือน พฤศจิกายน)  ข้อมูลจาก thainewyork.com