วันสำคัญคริสเตียน


การร้องเพลงแครอลิ่ง (Caroling) ร้องเพลงอวยพรตามบ้าน เพื่อบอกให้รู้ว่าคริสต์มาสมาถึงแล้ว ปีนี้

                     ในช่วงศตวรรษแรกของคริสตศาสนา การร้องเพลงแครอลิ่ง (Caroling) คือวัฒนธรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุด ที่ยังคงมีอยู่ทั่วโลก  คำว่า แครอลิ่ง เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก หมายถึง “ร้องเพลงวนหลายๆ รอบ หรือเต้นระบำด้วยความชื่นชมยินดี” ในสมัยก่อนที่มีหลายเทศกาลที่ร้องเพลงแครอลิ่ง แต่เทศกาลที่คนรู้จักกันที่สุดก็คงจะเป็น “คริสต์มาสแครอลิ่ง” ซึ่งเนื้อหาของเพลงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการประสูติของพระกุมารเยซู
                     เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราไม่สามารถที่จะหาผู้หนึ่งผู้ใดที่จะมีความรู้เป็นเลิศเกี่ยวกับการร้อง เพลงตามบ้านได้มากไปกว่า มาเรียน ออกัสต้า แทรปป์ ผู้ซึ่งชีวิตได้ถูกเขียนออกมาเป็นเรื่องราวที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันเป็น อย่างดีในภาพยนตร์เรื่อง “The Sound of Music” ครั้งหนึ่งในการตระเวนแสดงดนตรี ที่คาราคาส ประเทศเวเนซูเอล่า เธอได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า
“การร้องเพลงในช่วงเวลาคริสต์มาสนั้น นำเราย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษแรกของคริสตมาส มันคือวัฒนธรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีอยู่ในทั่วโลกในระหว่าง เทศกาลสำคัญนี้ อีกทั้งมีบันทึกไว้ในหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ด้วย”
                     การประพันธ์เพลงคริสต์มาสในช่วงแรกๆ จะได้รับความสำคัญในลักษณะของการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า การร้องเพลงแครอลิ่งดั้งเดิมนั้นอ้างอิงถึงการเต้นรำกันเป็นวงกลมที่จะไม่มี การร้องเพลงใดๆทั้งสิ้น ซึ่งการร้องเพลงนั้นแท้จริงเพิ่งจะถูกเพิ่มเติมเข้ามาภายหลัง ขณะที่คริสตจักรต้องปล้ำสู้กับอิทธิพลของโลกที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น ทำให้การร้องเพลงแครอลิ่งถูกแยกออกมาอย่างเด็ดขาดจากพิธีกรรมที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักร อย่างไรก็ตาม ภายนอกคริสตจักรนั้น เพลงแครอลิ่งซึ่งมีเนื้อหาพูดถึงการเสด็จมาประสูติขององค์พระเยซูคริสต์กลับ ถูกเขียนขึ้น และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บทเพลงเหล่านั้นจะมีท่วงทำนองที่เรียบง่ายและได้รับอิทธิพลมาจากเพลงพื้น บ้านของผู้ที่อยู่แถบชานเมืองนั้นเอง
                     นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี ได้รับการยอมรับในฐานะของผู้ที่นำเพลงแครอลิ่งเข้ามาในการนมัสการที่เป็นทาง การของคริสตจักรในระหว่างพิธีมิซซาเวลาเที่ยงคืนของคืนวันคริสต์มาสในถ้ำ แห่งหนึ่งในเมืองเกรซซิโอ จังหวัดอัมเบรียในปี 1223 ว่ากันว่าเพลงที่ร้องในคืนวันนั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งกับสิ่งที่เรา รู้จักกันว่าเป็นเพลงแครอลิ่งในสมัยปัจจุบัน
เพลงแครอลิ่งได้รับความนิยมอย่างมากและได้รับการพัฒนาไปไกลยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อถูกนำมาใช้ในบทละครที่เล่นกันอย่างแพร่หลายในยุคกลาง นักดนตรีในยุคกลางที่รักการเดินทางได้ท่องเที่ยวเรื่อยไปตั้งแต่จากหมู่บ้าน เล็กๆ ไปจนถึงปราสาทราชวัง ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงและร้องเพลงแครอลที่ถูกบรรจงเรียงร้อยให้เป็นภาษาที่สละ สลวยนับตั้งแต่อดีตกาลและในอีกไม่กี่ปีต่อมา แต่ละหมู่บ้านก็มีวงดนตรีที่คอยขับกล่อมบทเพลงเดียวกันประจำอยู่ในแต่ละหมู่ บ้านของตน
กลุ่มคนดังกล่าวแรกเริ่มเดิมทีเป็นคนยามประจำหมู่บ้านที่มีหน้าที่คอยสอด ส่องดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามถนนหนทางและระวังเหตุร้ายต่างๆ อาทิเช่น เพลิงไหม้รวมไปถึงการคอยร้องเพลงขับกล่อมผู้คนตามถนนหนทางในยามค่ำคืนด้วย ในช่วงเวลาที่มีเทศกาลสำคัญๆ พวกเขาจะร้องเพลงแครอลให้กับผู้คนที่พวกเขาได้พบเจอตลอดสองเส้นทางฟัง แม้ว่าชาวบ้านบางคนไม่พอใจที่ว่าพวกเขาควรจะนอนหลับได้พักผ่อนอย่างมีความ สุขมากกว่าที่จะได้ยินใครมาร้องเพลงฟังอยู่แถวหน้าต่างข้างบ้านของตน จนในที่สุดคำเรียกชื่อนักดนตรีกลุ่มนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Bands of Waits ก็ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงกลุ่มนักดนตรีที่คอยร้องเพลงและเล่นดนตรีใน เทศกาลต่างๆ ในระหว่างเทศกาลคริสต์มาส
ทุกวันนี้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายฉบับก็ได้ให้รายละเอียดของการร้อง เพลงแครอลตามที่ต่างๆหลายต่อหลายแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ในวันคริสต์มาสอีฟเท่านั้นแต่ตลอดช่วงเทศกาลเลยก็ว่าได้
แหล่งที่มา
1. วารสารธรรมมิกชน ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๙ ธันวาคม-มกราคม ๒๐๐๒
2. หนังสือเพลง “Christmas Songs”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น